หลังเกิดเหตุการณ์ตำรวจแฉตำรวจในวงประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงฯ มี สส.จากพรรคประชาชนและพวกอินฟลูเอนเซอร์บางคนเรียกร้องให้ปฏิรูปตำรวจ จัดการกับตำรวจรับส่วย ตำรวจซื้อขายตำแหน่ง

ประเด็นเหล่านี้ “ประดู่แดง” ได้ยินได้ฟังมาไม่น้อยกว่า 30 ปี นับแต่วัยละอ่อนที่เดินอยู่ในสนามข่าวสำนักปทุมวัน จนย่างเข้าสู่วัยอาวุโส มีการริเริ่มดำเนินการมาบ่อยครั้ง แต่สุดท้ายลงเอยแบบเดิมๆ
ขอยกตัวอย่างในยุคที่ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจ (อ.ตร.) ปรับโครงสร้างบริหาร แต่ตำรวจบางคนบอกว่านี่คือการปฏิรูปตำรวจแบบกระจายอำนาจ ด้วยการให้ผู้ช่วย อ.ตร. ไปเป็นหัวหน้าตำรวจภูธรภาค 1–9 มีคำสั่งมอบอำนาจที่ดูเหมือนให้อิสระในการบริหารแต่พอถึงปฏิบัติจริงหลายหน้างานกลับไม่เป็นอิสระ โดยเฉพาะอำนาจการแต่งตั้งโยกย้าย ทำให้ผู้ช่วย อ.ตร. หัวหน้าทำหน้าที่เสมือนนายไปรษณีย์ สุดท้ายจบแบบเรียกผู้ช่วย อ.ตร. กลับกรมฯ แล้วให้ผู้บัญชาการ (ผบช.) ภาค 1–9 ทำหน้าที่ดังเดิม
หลังจากนั้นบรรดาผู้บริหารสำนักปทุมวันต่อสู้ปลดแอกจากกระทรวงมหาดไทย มาเป็นอิสระขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี เป็นผลสำเร็จ บรรดาตำรวจต่างคาดหวังว่าจะได้เห็นการบริหารงานที่เป็นอิสระ ไม่โดนฝ่ายการเมืองครอบงำ โดยเฉพาะช่วงแต่งตั้งโยกย้าย แต่สุดท้ายเข้าอีกหรอบเดิมๆ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อจากกรมตำรวจมาเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
องค์ตำรวจหลายยุคคงจมปลักอยู่กับวังวนเดิมๆ บางครั้งถูกสังคมมองเห็นแต่ในแง่ลบ ส่งผลให้ทุกครั้งที่เผด็จการทหารลากรถถังออกมาก่อรัฐประหาร การปฏิรูปตำรวจจะอยู่ในเงื่อนไขทุกครั้ง อาทิ ยุคที่เผด็จการทหารภายใต้การนำของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร สำเร็จ ตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้นประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจขึ้นมาทันที พร้อมขีดเส้นให้สำเร็จภายใน 1 ปี
คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจเดินหน้าทำงานทันที จัดเวทีฟังความเห็นจากฝ่ายต่างๆ เดินสายต่างจังหวัดฟังเสียงประชาชน จนได้ข้อสรุปพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่มอย่างดี ใช้งบประมาณที่เป็นภาษีของประชาชนไปประมาณ 25 ล้านบาท หมดวาระของ พล.อ.สุรยุทธ์ ปฏิรูปตำรวจมูลค่า 25 ล้านบาทถูกเก็บซุกไว้
ครั้นมาถึงยุคเผด็จการทหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิรูปตำรวจเป็นเงื่อนไขสำคัญ มีการตั้งคณะกรรมการถึง 3 ชุด ใช้เวลาเกือบ 8 ปี ได้กฎหมายตำรวจ 2565 ออกมาบังคับใช้ ซึ่งในความจริงถ้า พล.อ.ประยุทธ์ มีความจริงใจที่จะปฏิรูปตำรวจจริง แค่ 1–2 ปีก็ควรจะเสร็จและบังคับใช้ได้แล้ว แต่กลับลากยาวเกือบ 8 ปี ช่วงระหว่างทางเกือบ 8 ปี องค์กรตำรวจถูกผู้มีอำนาจในคสช.ให้อำนาจนายตำรวจบางคนแบบเบ็ดเสร็จ โดยที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีหน้าที่เพียงแค่นั่งประคองเก้าอี้ตัวเองให้อยู่รอดจนครบเกษียณอายุเท่านั้น ทั้งที่ตำรวจทั่วประเทศต่างตั้งวาดฝันกับ ผบ.ตร. คนนี้ว่าจะนำพาองค์กรตำรวจสู่ความรุ่งเรืองในทุกด้าน มีการแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นธรรม แต่เป็นได้แค่ฝันเปียก
ในช่วง 8 ปีที่คสช.ครองอำนาจ ผบ.ตร. เป็นเพียงแค่เจว็ด ตำรวจทั่วประเทศอยู่ในอาการฝันร้าย ภาพลักษณ์องค์กรทรุดหนักถึงขั้นอัปลักษณ์ ผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติแตกความสามัคคี แบ่งก๊กแบ่งพวก ปล่อยเกียร์ว่าง เพราะอำนาจตกอยู่กับคนเพียงคนเดียวที่ไม่ใช่ผู้นำองค์กร
การวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งดังกระหึ่มทั่วประเทศ บางจังหวะที่ขัดแย้งกันมีการบุกค้นรังคนทำโผอยู่ในโรงแรมดังกลางเมืองหลวง ส่วยพนันออนไลน์ รวมถึงส่วยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์เฟื่องฟู สร้างความร่ำรวยให้กับตำรวจระดับสูงหลายกลุ่ม แก๊งพนันออนไลน์บางกลุ่มทนการตบทรัพย์จากนายตำรวจบางคนไม่ไหว ต้องวิ่งซบตำรวจที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม เกิดการหักหลังและจับกุม จนเกิดวลีเด็ดว่า “เป้รักผู้การเท่าไหร่”
ดังนั้นในช่วงกว่า 8 ปีที่เกิดวิกฤตศรัทธา กระทั่งถึงยุคของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร นั่งกุมบังเหียนมากว่า 1 ปี ทุ่มเทแก้ปัญหาทุกทาง บวกกับนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คนให้อิสระในการบริหารทุกด้าน สำนักปทุมวันค่อยฟื้นตัว ประชาชนให้ความไว้วางใจมากขึ้น ตำรวจที่เคยอยู่ในอาการขวัญผวากับการใช้อำนาจที่เป็นธรรม มีความหวังได้เห็นเส้นทางความก้าวหน้า โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายไร้เสียงครหาว่าทุกตำแหน่งต้องมีราคา งานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่ผลงานประจักษ์ในทุกด้าน
ที่ “ประดู่แดง” ยกมานำเสนอเพื่อสื่อสารไปถึงบรรดานักการเมือง อดีตตำรวจ ทั้งหลายที่จะขับเคลื่อนให้มีการปฏิรูปตำรวจนั้น ขอให้ไปนั่งทบทวนดูว่าผู้ที่กุมอำนาจหรือผู้ที่กำกับดูแลตำรวจนั้น เขายอมปล่อยมือหรือไม่?
ซึ่งพฤติกรรมของเผด็จการทหารทั้งสองชุดน่าจะพอเป็นบทเรียนให้ศึกษาว่า พอมีอำนาจได้คุมตำรวจมักละเลยที่จะปฏิรูปตำรวจ สส.พรรคประชาชนที่จะปฏิรูปตำรวจ ค่อยคิดค่อยพูดเมื่อได้เป็นผู้นำรัฐบาลน่าจะดีกว่า เพราะเมื่อนั่งในอำนาจแล้วอาจจะเปลี่ยนใจก็เป็นได้ !!!


