หลังจากสหรัฐอเมริกาจับมือกับอังกฤษลุยปราบขบวนการฟอกเงิน และสแกมเมอร์ข้ามชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป้าหมายหลักคือบริษัทการเงินรายใหญ่แห่งหนึ่งในกัมพูชา โดยเดินหน้าอายัดทรัพย์มูลค่ามหาศาล

จังหวะเดียวกันประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ประกาศเดินหน้าช่วยเหลือชาวเกาหลีใต้ที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา หลอกไปทำงานมีทั้งเสียชีวิตและถูกจับกุมคุมขัง
ทั้งสองกรณีกลายเป็นกระแสดราม่าในประเทศไทยผ่านสื่อโซเซียลพร้อมตั้งคำถามไปถึงนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่าจะลุยแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์กี่โมง??

ซึ่งนายอนุทินได้ตอบคำถามกับผู้สื่อข่าวแบบเลี่ยง ๆ ว่า “มีคนรับผิดชอบอยู่แล้ว”
หลังจากนั้นนายอนุทิน เซ็นคำสั่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการรกทำผิดทางอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยรับบทประธานฯมีรัฐมนตรีหลายกระทรวงเป็นกรรมการและหัวหน้างานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)

ถ้ามองตามหน้างานถือว่าการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นหน้างานที่กว้างมากและมีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ที่ผ่านมาตำรวจรับบทหนังหน้าไฟมาโดยตลอด อะไรที่จัดการไม่เข้าเป้าหรือไม่ถูกใจชาวโซเซียลองค์กรตำรวจกลายเป็นลานจอดรถทัวร์ทันที
ดราม่าล่าสุดถ้ารัฐบาลไม่จริงจังที่จะปราบปราม หรือถ้าปราบแล้วจะไปเหยียบตาปลาพวกเดียวกันหรือไม่ ? และสุดท้ายองค์กรตำรวจจะกลายเป็นลานจอดรถทัวร์ขนาดใหญ่อีกคำรบหนึ่ง
เพราะถ้าพวกที่ถูกปราบอยู่ในเครือข่ายของนักการเมือง ครั้นจะไปตำหนินายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง อาจจะถูกปรามจากหัวหน้าคอก ทางออกที่ดีที่สุดน่าจะไปจบที่ตำรวจว่าทำไมปราบให้ทั่วถึงเข้าข่ายเลือกปฏิบัติหรือไม่ ?
ซึ่งบริบททำนองนี้เคยเกิดขึ้นมาหลายบ่อยครั้ง และบ่อยครั้งที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจในเชิงตีวัวกระทบคราด เพราะนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)โดยตรง
หากย้อนดูข้อมูลเกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ หวยออนไลน์ ค้ายาเสพติดออนไลน์ หรือสินค้าเถื่อนออนไลน์ ส่วนใหญ่อยู่ในมือตำรวจแล้ว โดยตำรวจจะเก็บข้อมูลจากเหยื่อที่ไปแจ้งความหรือสืบจากผู้ต้องหาที่จับกุมได้ มีอยู่จำนวนมาก
ขอยกตัวอย่าง คดีแจ้งความในจันทบุรีเพียงจังหวัดเดียว ซึ่งตัวแทน ตร.เปิดเผยระหว่างประชุมระดับนานาชาติ ที่ จันทบุรี ช่วงปลายเดือนกันยายนว่าจากระบบแจ้งความอนนไลน์ เฉพาะที่ จันทบุรี เพียงจังหวัดมีคดีกว่า 5,898 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 412 ล้านบาท
สะท้อนเห็นได้ว่าช่องโหว่ที่ตำรวจจะถูกตำหนิมีสูงมาก คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเพียงหน้างานเดียวพนักงานสอบสวนแทบจะกระดิกตัวลำบาก ยังไม่นับรวมอาชญากรรมอื่นๆที่มีแนวโน้มขยับตัวสูงตามภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ
“ประดู่แดง” ขอทำนายว่ากรณีดราม่าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ นั้นองค์กรตำรวจอาจจะกลายเป็นแพะบูชายัญให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลนำไปโจมดีอย่างแน่นอน ยิ่งไทม์ไลน์การเลือกตั้งส.ส.ที่ออกมาคร่าว ๆ ประมาณ 29 มีนาคม 2569 โอกาสที่ตำรวจจะตกเป็นเป้าเพื่อกระทบไปถึงรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรี มีสูงอย่างแน่นอน

ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทีมงานโฆษก ตร.ป้ายแดงนำโดย พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ต้องไปตีให้แตกว่าจะมีวิธีไหนที่จะทำให้สำนักปทุมวันเจอแรงกระแทกน้อยที่สุด และไม่ให้ตกเป็นแพะบูชายัญ แต่เชื่อว่าทีมโฆษกตร.มีทางออกแน่นนอน เพราะที่ผ่านมา ทั้ง พล.ต.ท.ยิ่งยศ และรองโฆษกฯประกอบด้วย พล.ต.ท.ชัยต์พจน สูวรรณรักษ์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์รอง ผบช.น พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 และ พล.ต.ต.จตุรภัทร์ ภิรมย์แก้ว ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ ต่างมีประสบการณ์ทำงานประชาสัมพันธ์เชิงรุกมาแล้วทั้งสิ้น !!!


