รัฐสภา, วันที่ 11 กันยายน – เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน สัดส่วนเครือข่ายชาติพันธุ์ อภิปรายเสนอหลักการและเหตุผลของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎรซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ ที่พรรคประชาชนเป็นผู้ยื่นเสนอ โดยระบุว่ามีราษฎรที่ได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ ประกอบด้วยการประกาศเขตพื้นที่ป่าสงวน ป่าอนุรักษ์ ทับที่อยู่อาศัยทำกินของราษฎร ทำให้มีคนจำนวนมากอยู่ในเขตที่ดินของรัฐ โดยเฉพาะในเขตป่า ทำให้คนเหล่านี้มีสถานะที่ฝ่าฝืนกฎหมายอยู่ตลอดเวลา
ที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายและนโยบายต่างๆ ในการจับกุมดำเนินประชาชนเหล่านี้จำนวนมาก โดยเฉพาะหลังการรัฐประหาร 2557 มีการออกคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 อันนำไปสู่การจับกุม ตรวจยึดที่ดิน และดำเนินคดีกับประชาชนจำนวนมาก จึงเป็นการสมควรที่จะมีการนิรโทษกรรมและล้างมลทิน รวมทั้งคืนสิทธิในที่ดินให้แก่ผู้ที่อยู่อาศัยและทำกินโดยสุจริตก่อนการประกาศเป็นที่ดินของรัฐ หรือผู้ที่ได้รับการผ่อนผันตามนโยบายของรัฐบาล
เลาฟั้งกล่าวว่าร่างกฎหมายฉบับนี้มุ่งนิรโทษกรรมให้แก่คนจน คนชายขอบ และคนไร้ที่ดินทำกิน ที่ถูกดำเนินคดีไปอย่างไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะช่วงการดำเนินการตามนโยบายทวงคืนผืนป่าของ คสช. ปัญหาป่าทับคน-คนทับป่า เกิดขึ้นมาพร้อมกับการทยอยประกาศเขตป่าช่วงต้นทศวรรษ 2500 ทำให้ประชาชนจำนวนมากที่ถูกประกาศทับไปแล้วสูญเสียสิทธิและโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต

จากตัวเลขของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พบว่าปัจจุบันมีชุมชนที่อยู่ในเขตป่าทั้งหมดราว 23,000 ชุมชน มีที่ดินที่ทับซ้อนกับเขตป่า 16.7 ล้านไร่ แม้ที่ผ่านมารัฐบาลเกือบทุกยุคล้วนมีนโยบายแก้ไขปัญหาให้ประชาชนที่อยู่ในเขตป่า ทั้งช่วงก่อนปี 2540 ที่รัฐบาลมีนโยบายปฏิรูปที่ดินและกระจายการถือครองที่ดิน ที่ไม่ใช่การออกเอกสารในลักษณะที่เป็นกรรมสิทธิ์ แต่อยู่ในรูปของหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นนิคมสร้างตนเอง หรือ สปก. แต่หลังปี 2540 นโยบายของรัฐบาลเปลี่ยนไปจากการปฏิรูปที่ดินมาเป็นการอนุญาตให้อยู่อาศัยและทำประโยชน์ในเขตป่าโดยใช้เงื่อนไขตามกฎหมายป่าไม้แทน
สส.พรรคประชาชนอภิปรายว่า ที่เป็นหมุดหมายสำคัญคือ มติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 ที่ผ่อนผันให้ประชาชนที่อยู่ในเขตป่าถูกประกาศทับที่ได้รับการผ่อนผันไม่ให้ถูกจับกุมดำเนินคดี และกำหนดให้สำรวจการถือครอง พร้อมย้ำไม่ให้มีการบุกรุกเพิ่มเติม หลังจากนั้นมาก็ยังมีมติ ครม.อีกหลายฉบับที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน คือพยายามรับรองสิทธิ์ ผ่อนผันไม่ให้ถูกจับกุมดำเนินคดี และสำรวจการถือครองเพื่อป้องกันไม่ให้คนบุกรุกเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นมติ ครม.ว่าด้วยการคุ้มครองวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงและชาวเล หรือกระทั่งคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 และล่าสุดคือมติ ครม. 26 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่อนผันให้คนที่ทำกินมาก่อนได้อยู่อาศัยไปก่อนระหว่างที่รอการพิสูจน์สิทธิ์หรือรอให้มีการอนุญาติอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
พอมาถึงปี 2557 คำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 หรือการ “ทวงคืนผืนป่า” กลายเป็นสิ่งที่เป็นปัญหา แม้จะบอกว่าทวงคืนผืนป่าจากนายทุน ผู้มีอิทธิพล นักการเมืองท้องถิ่น แต่ในทางปฏิบัติมีแต่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ และเพียง 2 สัปดาห์หลังมีการออกคำสั่งนี้ ภาคประชาชนและสื่อมวลชนได้นำเสนอว่าการทวงคืนผืนป่าทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ คสช. จึงได้ออกคำสั่งอีกฉบับหนึ่ง คือคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 ที่เน้นย้ำว่าการทวงคืนผืนป่าต้องไม่กระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกิน ที่ได้อยู่อาศัยในที่ดินนั้นๆ ก่อนคำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ ยกเว้นผู้บุกรุกใหม่ ความหมายก็คือให้ทวงคืนเฉพาะจากนายทุน ผู้มีอิทธิพล และผู้บุกรุกใหม่เท่านั้น

เลาฟั้งกล่าวต่อไปว่าแต่ในทางปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าใช้วิธีการสนธิกำลังของ กอ.รมน. ทหาร ป่าไม้ ลงไปจับกุมดำเนินคดีอย่างเป็นการทั่วไปโดยไม่มีการกลั่นกรอง คนที่ถูกดำเนินคดีส่วนใหญ่จึงเป็นชาวบ้าน และยังมีปฏิบัติการข่าวสาร ทุกครั้งที่มีการจับกุมแม้จะเป็นชาวบ้าน ก็จะมีการออกสื่อทุกระดับย้ำว่าทวงคืนผืนป่าจากนายทุน ผู้มีอิทธิพล และนักการเมืองท้องถิ่น แต่ความจริงคือมีแต่ชาวบ้านที่ถูกจับกุม
ระหว่างปี 2557-2562 มีการดำเนินคดีไปทั้งหมดประมาณ 29,000 คดี ยึดที่ดินไปประมาณ 800,000 ไร่ แต่ที่สำคัญคือ ทส. เปิดเผยข้อมูลเองว่าในจำนวนนี้ มีเพียงประมาณ 80,000-100,000 ไร่ที่เป็นการบุกรุกใหม่ หรือมีแค่ 10% ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายยึดตามคำสั่ง คสช. 90% ไม่ควรถูกยึดตั้งแต่ต้น โดยจำนวนผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมดำเนินคดีในช่วงปี 2557-2564 มีถึง 4,700 คน เฉพาะที่ปรากฏและเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน แต่หากรวมคดีอื่นๆ ด้วยผู้ที่ถูกจับกุมดำเนินคดีในช่วงนี้มีไม่ต่ำกว่า 15,000 คน ซึ่งเกินกว่า 90% ล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดาทั้งนั้น
สส.บัญชีรายชื่อกล่าวว่าร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับนี้จึงมีความประสงค์ในการคืนความเป็นธรรมให้แก่ราษฎรที่ได้อยู่อาศัยและทำกินมาก่อน และถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม โดยต้องล้างมลทินให้ และปลดล็อกให้ประชาชนสามารถนำที่ดินเข้าสู่กระบวนการรับรองคุมครองสิทธิ์ตามปกติ คนที่สามารถพิสูจน์สิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ก็เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ ส่วนพื้นที่ที่อยู่ในเงื่อนไขได้รับการคุ้มครอง เช่น เข้าสู่กระบวนการ คทช. ก็ให้มีสิทธิเข้าสู่กระบวนการ คทช.
โดยกลุ่มเป้าหมายตามร่างกฎหมายฉบับนี้มีอยู่ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ 1) ผู้ที่ได้ครอบครองทำประโยชน์มาก่อนการประกาศเป็นพื้นป่า 2) ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์หลังการประกาศเป็นพื้นที่ป่า แต่ได้รับการผ่อนผันตามมติ ครม. และ 3) ผู้ที่ได้รับการยกเว้นตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 โดยไม่ใช่การนิรโทษกรรมเป็นการทั่วไป เจตนาของร่างกฎหมายฉบับนี้ต้องการที่จะนิรโทษกรรมเฉพาะคนที่มีความชอบธรรม มีกฎหมาย และนโยบายคุ้มครอง รัฐบาลไม่ประสงค์ดำเนินคดีกับเขาอยู่แล้วตั้งแต่ต้นเท่านั้น แต่หากเป็นคนที่ที่พิสูจน์แล้วว่ามาอยู่หลังการประกาศคำสั่ง คสช. ปี 2557 คนที่เป็นนายทุน มีอิทธิพล คนเหล่านี้ไม่มีสิทธิที่จะได้รับการนิรโทษกรรมตามร่างกฎหมายฉบับนี้
เลาฟั้งกล่าวว่า ได้เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกลั่นกรอง มีองค์ประกอบที่เป็นภาคราชการเกือบทั้งหมด โดยคณะกรรมการนิรโทษกรรมระดับจังหวัด จะทำหน้ากลั่นกรองบุคคลที่มีคุณสมบัติ ส่วนคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดในระดับชาติ จะทำหน้าที่ในการติดตาม ตรวจสอบ และรับวินิจฉัยอุทธรณ์ในกรณีที่มีการอุทธรณ์ขึ้นมา เมื่อกฎหมายผ่านแล้วรัฐมีหน้าที่ต้องรวบรวมรายชื่อผู้ได้รับผลกระทบเข้ามาพิจารณา โดยที่ผู้เสียหายที่หลุดรอดจากกระบวนการกลั่นกรองออกไป หรือญาติมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องได้ด้วยตนเอง โดยกำหนดให้ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี เพื่อเร่งรัดให้การดำเนินการนิรโทษกรรมเป็นไปได้อย่างเร็วที่สุด
โดยร่างกฎหมายฉบับนี้จะปิดประตูนายทุนและผู้บุกรุกใหม่ และทำให้มีความมั่นใจได้ว่าผู้ที่จะได้รับการนิรโทษกรรมจะต้องเป็นประชาชน คนชายขอบ คนที่ไม่มีที่ดินทำกิน และคนที่สุจริตจริงเท่านั้น อย่างกรณีเขากระโดง ไม่มีสิทธิที่จะได้รับการนิรโทษกรรมตามกฎหมายฉบับนี้ เพราะเป็นเรื่องของการออกเอกสารสิทธิทับที่ของการรถไฟฯ ไม่ใช่ที่ดินตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ รวมทั้งกรณีนายทุนไทยเทาและจีนเทาที่ไปกว้านซื้อที่ดินปลูกทุเรียนตามที่เป็นข่าว กลุ่มนี้ก็ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการนิรโทษกรรมเช่นเดียวกัน
“มันมีความจำเป็นที่เราต้องนิรโทษกรรมให้ประชาชน เพราะทั้งจำนวนมันเยอะจริงๆ ทั้งพื้นที่ที่ถูกตรวจยึดไปอย่างไม่เป็นธรรมก็เยอะจริงๆ หลายคนอาจกังวลว่าจะทำให้นายทุนหลุดรอดเข้าไปรับผลประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ด้วยหรือไม่ เราก็ต้องตระหนักเรื่องนี้เช่นเดียวกัน และในการออกแบบกฎหมายก็จำเป็นต้องมีควมรัดกุม เพื่อสร้างหลักประกันว่าจะไม่มีนายทุนที่ไหนที่จะมารับประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้” เลาฟั้งกล่าว

