“ชูศักด์” ยัน “ภูมิธรรม” มีอำนาจเสนอร่าง พรฎ.ยุบสภา ชี้ตีความ รธน.ต้องใช้หาทางออก ไม่ใช่หาทางตัน

468

ทำเนียบรัฐบาล, วันที่ 4 ก.ย. – นายชูศักดิ์  ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (รมต.นร.) กล่าวถึงกรณีปัญหาว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายก ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี มีอำนาจที่จะทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายร่างพระราชกฤษฎีกา (พรฎ.) ยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยได้หรือไม่ว่า การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มิใช่อำนาจของนายกฯ ดังที่ตั้งประเด็นกันว่า “ผู้รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่” ตามมาตรา 103 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นายกฯ  มีแต่เพียงอำนาจถวายความเห็นโดยการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 103 และมาตรา 175 เท่านั้น 

นายชูศักดิ์ กล่าวว่า การตีความรัฐธรรมนูญ (รธน.) ควรตีความไปในทางที่สามารถใช้บังคับแก่เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ มิใช่ก่อให้เกิดทางตัน ขณะเดียวกันก็ควรตีความโดยเคร่งครัด เช่น  เมื่อ รธน.ประสงค์จะจำกัดอำนาจหน้าที่ใดของบุคคลหรือองค์กรใด  ก็จะบัญญัติไว้อย่างชัดเจน ดังเช่น การจำกัดอำนาจของนายกฯ และรัฐมนตรีภายหลังการยุบสภาแล้วตามมาตรา 169 และบัญญัติว่าการยุบสภาจะกระทำมิได้ภายหลังการเสนอญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะตามมาตรา 151 และการยุบสภาผู้แทนราษฎรจะทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุเดียวกันตาม มาตรา 103 โดยไม่มีบทบัญญัติอื่นใดจำกัดอำนาจนายกรัฐมนตรีในการถวายความเห็นให้ทรงตรา พรฎ.ตามมาตรา 175 ไว้ในมาตราใด ๆ ทั้งสิ้น

รมต.นร. กล่าวว่า เมื่ออำนาจใดเป็นของนายกฯ อำนาจนั้นย่อมเป็นของรองนายกฯ ที่รักษาการแทนทั้งสิ้น เพราะไม่มีข้อจำกัดไว้ในที่ใด คำกล่าวที่ว่าอำนาจในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเป็นอำนาจเฉพาะตัวของนายกรัฐมนตรีเป็นการคิดเอาเองตามทฤษฎี  เช่น ถือว่านายกรัฐมนตรีได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร จึงควรเป็นบุคคลเดียวที่เสนอร่าง พรฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ เป็นการนำทฤษฎีคนละเรื่องกันมาตีความนอกรัฐธรรมนูญ ถ้า รธน.ประสงค์จะให้ตีความเช่นนั้น ก็คงบัญญัติไว้แล้ว ดังเช่น บัญญัติไว้ในมาตรา 167 (1) ว่ารัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งเมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลง ที่เป็นเช่นนี้ นายกฯ มาจากความไว้วางใจของสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรีอื่นทั้งคณะจึงต้องพ้นจากตำแหน่งตามไปด้วย 

นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ที่ว่าการตีความรัฐธรรมนูญต้องตีความไปในทางที่ใช้บังคับได้ เพราะหากเกิดเหตุการณ์สำคัญที่นายกฯ พ้นจากตำแหน่ง และยังคงมีรองนายกฯ รักษาการ แต่เหตุการณ์นั้นรุนแรงจนสมควรยุบสภา ก็จะไม่สามารถหาทางออกด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ อันจะก่อให้เกิดอันตรายและความเสียหายตามมา เป็นทางตันไม่อาจแก้ปัญหาได้ ดังนั้นรองนายกฯ ผู้รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี จึงมีอำนาจในการถวายร่าง พรฎ.ยุบสภา เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยได้ ส่วนจะทรงโปรดเกล้าฯ ประการใด ย่อมเป็นพระราชอำนาจเด็ดขาด ไม่อาจถูกทบทวนโดยศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรใด ๆ ได้ 

 ทั้งนี้นายชูศักดิ์ ยืนยันว่า การที่รักษาการนายกฯ ไม่เคยทูลเกล้าฯ ถวายร่าง พรฎ.ยุบสภามาก่อนนั้น มิใช่เหตุผลที่จะตัดอำนาจดังกล่าว และเพราะไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในอดีต จึงจะถือเป็นประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไม่ได้ แท้จริงแล้วถ้าเกิดปัญหาขึ้นก็ต้องหาทางออกจนได้ ดังเช่น กรณีนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายความเห็นให้ทรงยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ.2516 (หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516) ทั้งที่ไม่เคยมีประเพณีให้ยุบสภาที่มาจากการแต่งตั้ง และครั้งนั้นก็เคยสงสัยกันว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจหรือไม่ แต่ก็มีการยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติในที่สุด