นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ต่างมุมมอง ‘ณัฐวุฒิ-วัฒนา’ เทียบประวัติศาสตร์ ‘คนย้ายขั้ว’ ปัจจุบันกับ ‘ยุคเดือนตุลา’ แฉบางคน ‘เข้าป่า’ ตามแฟชั่น ก่อนออกมาเปลี่ยนข้าง ไม่แปลก!!! ขณะเลขาฯ นปช. ชี้ ขบวนการเสื้อแดงแผลยังสด การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด ไร้ระยะห่างกาลเวลา 30 ปี จากตุลา19 ถึงรัฐประหาร49 – ย้ำอดีตแนวร่วม อย่าเอาการต่อสู้ของประชาชนไปอ้างบนเวทีเผด็จการ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ในฐานะสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติและนายวัฒนา เมืองสุข สมาชิกพรรคเพื่อไทย ร่วมเป็นแขกรับเชิญในรายการ ‘สุมหัวคิด’ ทาง Voice TV ช่อง 21 ประจำวันที่ 26 พ.ย. 2561 หัวข้อ ‘ฝ่าแม่น้ำ 5 สาย สู้ศึกเลือกตั้ง’ ดำเนินรายการโดย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
นพ.สุรพงษ์ ตั้งคำถามต่อ ณัฐวุฒิ ตอนหนึ่งว่า ในบรรดาคนที่ย้ายพรรคไปอยู่พรรคที่ถูกมองว่าสนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบัน มีคนที่เป็นแกนนำเสื้อแดง เป็นผู้มีบทบาทในการทำงานร่วมกันกับนปช. ซึ่งคุณณัฐวุฒิเองก็มีบทบาทสำคัญอยู่ตรงนั้น การที่เขาย้ายพรรค เป็นเรื่องเข้าใจได้หรือไม่?
ณัฐวุฒิ กล่าวว่า ‘ที่จริงผมเองก็จัดอยู่ในกลุ่มคนย้ายพรรค ซึ่งผมคิดว่าการเปลี่ยนสังกัดพรรคการเมืองเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นและทำได้ แต่ย้ายหลักการไม่ได้
สิ่งที่เพื่อนฝูง พี่น้องผมจำนวนหนึ่งย้ายพรรคแล้วไปอยู่กับพรรคการเมืองซึ่งถูกสังคมมองว่าจะสนับสนุนการสืบทอดอำนาจอย่างชัดเจน นั่นก็เท่ากับว่า สถานภาพความเป็นนปช. หรือสถานภาพของความเป็นคนในองค์กรต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ยุติลงแล้ว ขาดกันที่ตรงนั้น
แน่นอนครับ ความเป็นเพื่อนฝูง ความเป็นพี่น้อง มันคงลบเลือนไปลำบากเพราะกอดคอร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมสู้กันมา
วันนี้ผมก็เพิ่งพูดไปกับสื่อมวลชนว่า ถ้าตัดสินใจข้ามเส้นหลักการไปยืนอยู่ตรงนั้น ก็ขอให้ไปดี แต่ว่าให้นึกถึงหัวใจของพี่น้องประชาชนที่เคยต่อสู้ เคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เคยสูญเสียอิสรภาพมาด้วยกัน
ถ้าเห็นใจพี่น้องประชาชน ก็ขออย่าเอาความเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ขออย่าเอาความเป็นแกนนำนปช. ความเป็นแกนนำคนเสื้อแดงไปแสดงออกบนเวทีตรงนั้นเลย ประชาชนเขาจะเจ็บปวด
ไปก็ไปแต่ตัวเถิด ประวัติศาสตร์การต่อสู้บทบาทการต่อสู้ทั้งหลายที่เคยทำมา ขอให้ฝากไว้ที่นี่ อย่านำพาไปแสดงออกที่ตรงนั้นว่านั่นเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย นั่นเป็นการสืบสานอุดมการณ์ที่ท่านได้เดินกันมา เพราะมันเป็นคนละแนวทางอย่างชัดเจน
ที่ผมพูดแบบนี้ ผมไม่ได้ใจดำกับพี่น้องที่เขาเดินไปนะครับ แต่ผมมีความรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ ที่จะต้องปกป้องหัวใจของประชาชนที่เขาต่อสู้กันมา’ ณัฐวุฒิกล่าว
วัฒนา กล่าวเสริมว่า ‘สิ่งที่คุณณัฐวุฒิพูดไม่ใช่ปรากฏการณ์ครั้งแรก ผมเป็นคนหนึ่งในยุคเดือนตุลา มีประสบการณ์เห็นคนที่เข้าป่าในช่วงนั้น บางคนก็ไม่ได้มีอุดมการณ์แบบที่เขาเข้าไป บางทีเข้าไปเพราะแฟชั่น เรื่องนี้ถ้าเรียนถามคุณหมอสุรพงษ์ก็คงพอจะเข้าใจได้อยู่
แล้วหลายคนที่ออกมาจากป่าก็เปลี่ยนจุดยืน ไปในทางตรงข้าม จากเคยเข้าป่าเคยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย วันนี้ก็ไปยืนอยู่ข้างเผด็จการก็มีจำนวนมาก เพราะฉะนั้น ปรากฏการณ์ที่แกนนำหลายๆ ท่านไป ผมก็ว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ วันเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน’วัฒนากล่าว
ณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่า ‘มันต่างตรงนี้เท่านั้นเองครับ ตรงที่คนเดือนตุลา ไม่ว่าจะ 14 ตุลา 16 หรือ 6 ตุลา 19 การย้ายข้างไปยืนอยู่กับเผด็จการ เกิดขึ้นเมื่อเวลามันผ่านไปนาน เช่น มาเห็นชัดตอนยึดอำนาจปี 2549
แต่ว่า ปัจจุบันสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม มันเป็นแผลสด เกิดขึ้นในท่ามกลางขบวนการการต่อสู้นี้ที่ยังดำรงอยู่และภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น
พี่น้องเพื่อนมิตรผู้ร่วมอุดมการณ์ก็คงอยู่ แลเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น ผมจึงต้องเน้นย้ำว่า เพื่อนไป พี่ไป น้องไป ก็ไปเถิด ถ้าประชาชนเขายอมรับ ถ้าผู้มีอำนาจเขาสนับสนุน ก็ขอให้โชคดีเติบโตทางการเมืองไปได้ แต่อย่าเอาการต่อสู้ของประชาชนไปแสดงออกบนเวทีเหล่านั้น
อย่าไปเอ่ยอ้างการต่อสู้ของประชาชนกับบทบาทสถานะแบบนั้น ผมยอมไม่ได้’เลขาธิการนปช.กล่าว
วัฒนา กล่าวเพิ่มเติมว่า ‘ก็คงต้องเอ่ยถึงบทกวีของ ‘จิตร ภูมิศักดิ์’ ‘หนทางพิสูจน์ม้า และเวลาพิสูจน์คน’ หลายๆ ท่านอาจจะไป โดยอ้างเรื่องของคดี ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า มีความเลวร้ายของคนที่เอาสิ่งเหล่านี้มาต่อรอง
ต่อรองกันเรื่องคดี ที่พูดตรงนี้ เพราะผมฟังคำให้สัมภาษณ์ของลูกชายอดีตรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ที่ย้ายตรงนั้นเพราะอยากจะช่วยพ่อ แสดงให้เห็นว่า คนทำรัฐประหารชุดนี้ ทำอะไรโดยที่ใช้ทุกวิถีทาง
แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือ องค์กรในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกรมราชทัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. ที่ถูกอ้างว่ามีการต่อรองเรื่องคดี และองค์กรอื่นๆ ไม่มีองค์กรใดองค์กรหนึ่งออกมาปฏิเสธเลยว่า ไม่เป็นความจริงและเป็นไปไม่ได้ อันนี้คือสิ่งที่น่าเป็นห่วง’วัฒนากล่าว