สงครามไทย-กัมพูชา ”รัฐบาล-ทีมโฆษกฯ” สื่อสารเหลว เอกชนสุดทนปลุกรักชาติกระฉ่อนโลก  

991


             “  ช่วงที่รัฐบาลกัมพูชาสั่งให้ทหารยิงถล่มไทย พุ่งเป้าไปที่บ้านเรือนประชาชน ร้านค้า โรงพยาบาล และปั๊มน้ำมัน ทำให้ผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต บาดเจ็บ ทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก แต่ด้วยความกะล่อนปลิ้นปล้อนของสมเด็จฮุน เซน และรัฐบาลกัมพูชา ได้ฉวยโอกาสเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียลแบบต่อเนื่องทุกช่องทาง ว่ากัมพูชาถูกทหารไทยยิงถล่มก่อน จึงจำเป็นต้องตอบโต้


               ขณะที่รัฐบาลไทยและทีมงานโฆษกรัฐบาลกว่าจะขยับตัวตอบโต้ ถูกกัมพูชาทิ้งห่างไปหลายช่วงตัวแล้ว แม้แต่บรรดาสื่อที่เป็นทั้งนายแบกและนางแบกสุดจะทน โพสต์ผ่านโซเชียลตำหนิรัฐบาลและทีมโฆษกรัฐบาลว่าไม่ทันเกม ชักช้าถึงขั้นแนะให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลช่อง 11 หรือเอ็นบีที ว่าต้องยกเครื่องในการสื่อสาร รวมถึงจัดทำแพลตฟอร์มที่นำเสนอให้ทันสมัย สื่อสารให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย รวดเร็ว และตรงประเด็น


               จังหวะเดียวกันฝ่ายตรงข้ามผลิตข่าวปลอมเพื่อปลุกปั่นและด้อยค่าประเทศไทย รวมถึงรัฐบาลจำนวนมาก อาทิ ข่าวระบุว่า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ด้วยอารมณ์โมโหหลังเขมรขอให้ไทยช่วยเหลือรักษาทหารที่บาดเจ็บว่า “มันยิงลูกน้องผม อย่าหวังว่าผมจะช่วย รักษาไม่ได้ก็ให้ตายไปซะ” กว่าที่ทีมโฆษกของกระทรวงกลาโหมจะออกมาชี้แจงว่าเป็นข่าวปลอม ใช้เวลาหลายชั่วโมง พวกนิยมความรุนแรงคลั่งชาติโพสต์ว่อนโซเชียล กลายเป็นจุดอ่อนให้ต่างชาติ รวมถึงกัมพูชาที่นำไปขยายผลว่าไทยไร้มนุษยธรรม


        ซึ่งข่าวปลอมหรือเว็บไซต์ผลิตข่าวปลอมหรือขบวนการไอโอทั้งหลาย ล้วนแต่ผลิตออกมาเพื่อด้อยค่าประเทศไทยแทบทั้งสิ้น แต่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้การนำของนายประเสริฐ จันทรรวงทอง แทบจะไม่มีบทบาทในการสกัดหรือปิดกั้นเว็บไซต์เหล่านี้


      จากความล่าช้าในการตอบโต้หรือชี้แจงข่าวสารของรัฐบาล สร้างความอึดอัดให้กับประชาชนจำนวนมาก บางส่วนตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลไทยมีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือไม่?


        บางคนถึงขั้นประดิดประดอยวาทกรรมเชิงประชดประชันว่า “รัฐบาลประเทศอื่นปลุกให้ประชาชนรักชาติ แต่ประชาชนไทยกลับปลุกให้รัฐบาลรักชาติ” พอบ่งบอกได้ว่าหากจะพึ่งพาการสื่อสารจากรัฐบาลคงจะไร้ผล เพราะแม้แต่การปลุกให้ประชาชนแสดงพลังให้เห็นถึงความสามัคคี เป็นไปด้วยความล่าช้า


       จนทำให้ประชาชนหลายกลุ่ม รวมถึงบริษัทต่างๆ ผลิตแพลตฟอร์มแสดงเชิงสัญลักษณ์ถึงความเป็นไทยเผยแพร่ออกไปทั่วโลก แม้แต่กองทัพบกยังโพสต์แสดงความขอบคุณภาคเอกชน ที่ร่วมเผยแพร่ภาพธงชาติไทยผ่านสื่อโฆษณาดิจิทัลทั่วประเทศในช่วงเวลา 08.00 น. และเวลา 18.00 น. สะท้อนถึงพลังความรักชาติ ความสามัคคี และจิตสำนึกในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศร่วมกัน


        ที่ตื่นตาตื่นใจ มีการกล่าวขานในสื่อโซเชียลเป็นวงกว้างทั่วโลก คือ ภาพธงชาติไทยโบกสะบัดอยู่ใจกลางไทม์สแควร์ ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา คู่กับข้อความ “Truth From Thailand” สะท้อนให้โลกเห็นถึงพลังเงียบของประชาชนไทยในยามที่โลกภายนอกอาจจะยังไม่เข้าใจถึงความจริงที่เกิดขึ้น และเป็นการส่งสัญญาณถึงความเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยในการยืนหยัดเคียงข้างกันในยามที่ประเทศต้องเผชิญสถานการณ์ที่เปราะบาง


       ปรากฏการณ์กระฉ่อนโลกนี้ มาจากฝีมือของนายปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB เป็นผู้ขับเคลื่อนสำคัญ


        หากส่องประวัติของปรินทร์ ถือว่าไม่ธรรมดา เริ่มเดินบนถนนสายธุรกิจตั้งแต่ช่วงอายุ 24 ปี ก่อตั้งบริษัท ปรินทร์ โปรดักชั่น มุ่งเน้นติดตั้งสื่อโฆษณาในพื้นที่แปลกใหม่ อาทิ ผับ ฟิตเนส และโรงภาพยนตร์ เป็นต้น จากนั้นก่อตั้ง PLAN B Media ปี 2548


        บริษัท PLAN B มาจากความเชื่อว่าแผนสำรองที่ดีคือหัวใจของธุรกิจ ผสมกับชื่อเล่นของปรินทร์ชื่อว่า “บี” สะท้อนถึงวิสัยทัศน์การทำงานที่เน้นความยืดหยุ่น สร้างสรรค์ และกล้าลองตลาดใหม่ จนทำให้ PLAN B เติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำด้านสื่อสารนอกบ้านของไทย ทั้งบิลบอร์ด จอแอลอีดี สนามบิน รถสาธารณะ สื่อในห้องน้ำ และระบบขนส่งมวลชน


               ช่วงปี 2566-2568 นายปรินทร์ทยอยซื้อหุ้น PLAN B เพิ่มอย่างต่อเนื่อง รวมกว่า 135.5 ล้านหุ้น มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท บ่งบอกถึงสัญญาณชัดเจนถึงความมั่นใจในธุรกิจในอนาคต


       เมื่อมองถึงบทบาทการสื่อสารสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชา ในเชิงรุกถือว่าทั้งรัฐบาลและทีมงานโฆษกรัฐบาลยังห่างชั้นกับภาคเอกชน แบบที่ทั้งรัฐบาลและทีมโฆษกฯ ต้องแหงนคอมอง ทั้งที่มีเครื่องมือให้สื่อสารหลายช่องทาง บวกกับปัจจัยต่างๆ ที่คอยเอื้อให้แบบไม่จำกัด


         ดังนั้น เพื่อไม่ให้ถูกบูลลี่ว่าด้อยศักยภาพในการสื่อสาร รัฐบาลและทีมงานโฆษกฯ ต้องปรับขบวนยุทธ์ใหม่ ด้วยการสื่อสารแบบฉับไว รัดกุม ตรงประเด็น และให้ทั่วโลกได้รับรู้แบบเดียวกับที่ “บี ปรินทร์” ทำอยู่ น่าจะกู้ศรัทธาคืนได้บ้าง!!!