นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด(มหาชน) ระบุ สินเชื่อรายย่อยปี 62 ตั้งเป้าเติบโตมากกว่า 10% และพร้อมตัดหนี้เสียออกอีก 2 พันล้านบาท หวัง NPL เหลือ 2.3-2.4% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.7% โดยธนาคารรตั้งเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อรายย่อยปี 62 มากกว่า 10% ซึ่งจะแบ่งเป็น สินเชื่อบ้าน ที่ตั้งเป้าเติบโตมากกว่า 10% จากปี 61 คาดจะปล่อยสินเชื่อบ้านได้ 2 หมื่นล้านบาท โต30% จากปี 60 ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท ส่วนสินเชื่อบุคคล ปี 62 ตั้งเป้าเติบโตมากกว่า 10% จากปัจจุบันธนาคารได้ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 7 พันล้านบาท และสินเชื่อรถยนต์ 3 หมื่นล้านบาท NPL อยู่ที่ 3% สินเชื่อรถมอเตอร์ไซด์ 3.5 พันล้านบาท NPL อยู่ที่ 8-9%
ธนาคารตะระดมเงินฝากปี 62 ให้อยู่ในระดับ 1.20 แสนล้านบาทจากฐานเงินฝากสิ้นปี 61 ที่ 1.11 แสนล้านบาท และจะขยายฐานเงินฝากเพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อ ซึ่งปัจจุบันสภาพคล่องของธนาคารลดลงเล็กน้อย นอกจากนี้ธนาคารมีแผนเพิ่มสัดส่วนเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ ( CASA) เป็น 50% ในปี 64 และในปี 62 ที่ 30-50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 25-30% โดยเมื่อ วันที่ 1 พ.ย ที่ผ่านมาธนาคารได้ออกแคมเปญเงินฝากใหม่ 24 เดือน โดยให้อัตตราดอกเบี้ยที่ 2.50% เงินฝาก 12 เดือน ให้อัตราดอกเบี้ย 1.70% เงินฝาก 5 เดือนให้อัตราดอกเบี้ย 1.65% ซึ่งฝากขั้นต่ำที่ 5 หมื่นบาทขึ้นไปแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยคาดว่าแคมเปญดังกล่าวนะทำให้มีไหลเข้ามาประมาณ 6 พันล้านบาท
ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมจากการขายประกันผ่านธนาคาร (แบงก์แอสชัวร์รันส์) และการขายกองทุนรวมผ่านธนาคาร ในปี 61 ยังเติบโตได้ดีโดยรายได้ค่าฟีรการขายประกันเติบโตที่ประมาณ 700-800 ล้านบาท จากปี 60 ที่ 690 ล้านบาท ซึ่งธนาคารตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ 1.1 พันล้านบาทในปี 62 ในส่วนของกองทุนรวมมีการเติบโตสูงเช่นเดียวกัน โดยในปี 61 ทำได้ 830 ล้านบาท ตามเป้าที่ตั้งไว้ ส่วนในปี 62 ตั้งเป้าไว้ไม่น้อยกว่า 1.05 พันล้านบาท โดยเลือกกลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้าและการให้บริการซึ่งทำให้ยอดขายประกันและกองทุนรวมสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
“ในปีหน้าทางธนาคารจะใช้กลยุทธ์ดึงลูกค้ารายใหม่ๆเข้ามาโดยจะเร่งในช่วง 6 เดือนแรกก่อนซึ่งก็เป็นแนวทางเดียวกับปีนี้นะเห็นได้ว่าทุกอย่างของธนาคารเราโตอย่างต่อเนื่องทั้ง สินเชื่อบ้าน กองทุน ประกัน และค่าฟี “ นายอดิศร กล่าว. ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้( NPL) สินเชื่อรายย่อยทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ปี61 อยู่ที่ 2.7% ซึ่งลดลงจาก ปี60 ที่มีถึง 6% ซึ่งมีผลมาจากการปรับเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าทีมีศักยภาพมากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันซึ่งหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกเกณฑ์ควบคุมสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันซึ่งส่งผลให้เกิดหนี้เสียในกลุ่มดังกล่าว