กรุงเทพฯ, วันที่ 4 มิ.ย. ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และรองประธาน กมธ.พลังงาน กล่าวถึงการเปิดรับฟังความคิดเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ต่อ “หลักเกณฑ์การอนุญาตสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง หรือจ้างผู้อื่นผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในกิจการตนเอง (IPS)” ว่า นับเป็นก้าวสำคัญในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีพลังงานและความต้องการเสรีภาพด้านไฟฟ้าของภาคเอกชน แต่หากพิจารณารายละเอียดแล้วกลับพบว่า หลักเกณฑ์นี้ยังคงขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานของการแข่งขันเสรีและความเท่าเทียมของผู้บริโภค
ศุภโชติ กล่าวว่า หลักเกณฑ์ใหม่นี้จำกัดสิทธิการผลิตไฟฟ้าไว้เฉพาะพื้นที่นิคม = บิดเบือนการแข่งขัน โดยจำกัดสิทธิในการดำเนินการผลิตไฟฟ้าด้วยรูปแบบที่ยืดหยุ่นและทันสมัย ด้วยการกำหนดให้ การผลิตใช้เอง (รูปแบบที่ 1), การผลิตโดยบุคคลที่สาม (รูปแบบที่ 2), หรือการใช้พื้นที่ข้ามกรรมสิทธิ์หรือให้บริการแก่หลายกิจการ (รูปแบบที่ 3.1-3.4) สามารถทำได้เฉพาะใน “พื้นที่เฉพาะ” เช่น นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรมเท่านั้น ซึ่ง่พื้นที่นิคมส่วนใหญ่มีต้นทุนที่ดินสูง ไม่มีพื้นที่ว่าง และไม่เหมาะสำหรับโครงการอย่างโซล่าฟาร์ม หรือ battery storage ส่งผลให้ เอกชนโดยเฉพาะรายย่อยแทบไม่สามารถใช้ประโยชน์จากหลักเกณฑ์นี้ได้จริง

“นี่จึงเท่ากับเป็นการบีบให้เสรีภาพด้านพลังงานกระจุกตัวเฉพาะกลุ่มทุนในนิคม และปิดกั้นผู้ประกอบการภายนอกจากการเข้าถึงระบบผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองอย่างมีประสิทธิภาพ และแนวทางนี้สะท้อนถึงการกำกับดูแลที่ไม่เป็นกลางเชิงพื้นที่ ซึ่งเลือกใช้ สถานที่ตั้ง เป็นเกณฑ์กำหนดสิทธิ แทนที่จะใช้ มาตรฐานทางเทคนิค ที่โปร่งใสและเป็นธรรมกว่า” สส.บัญชีรายชื่อระบุ
ศุภโชติกล่าวว่า หลักเกณฑ์ใหม่ยังปิดกั้นนวัตกรรมและกีดกันผู้เล่นรายใหม่ เพราะรูปแบบธุรกิจสมัยใหม่ เช่น การซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer หรือ กรณีลูกค้าผู้ใช้ไฟฟ้าขายไฟฟ้าคืนให้แก่ผู้ผลิตไฟฟ้า, การซื้อขายไฟฟ้าผ่านโครงข่ายของทางภาครัฐ (Third Party Access: TPA), ยังคงถูกกันไว้นอกกรอบอนุญาต และไม่ได้รับการส่งเสริมหรือรองรับในหลักเกณฑ์นี้ ทั้งที่ในต่างประเทศ รูปแบบเหล่านี้คือเครื่องมือสำคัญในการสร้างพลังงานหมุนเวียนแบบกระจายศูนย์ ลดภาระโครงข่ายหลัก และส่งเสริมการแข่งขัน การอ้างว่า “เพื่อไม่ให้กระทบระบบโครงข่ายเดิม” กลายเป็นข้อจำกัดแบบครอบจักรวาลที่ทำให้ ภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไปต้องอยู่ภายใต้ระบบผูกขาดทางไฟฟ้าต่อไป ทั้งที่ในความเป็นจริง หลายเทคโนโลยีสามารถจัดการผลกระทบดังกล่าวได้แล้ว เช่น ระบบ smart inverter, battery storage, หรือ load balancing

“ผมขอข้อเสนอให้ปรับจาก อนุญาตแบบจำกัด เป็น ส่งเสริมด้วยมาตรฐานเทคนิค หาก กกพ. ต้องการควบคุมความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ควรใช้เกณฑ์ทางเทคนิค เช่น grid connection code, safety protocol และ standard compliance เป็นเครื่องมือในการอนุญาต แทนที่จะใช้ “พิกัดที่ตั้ง” เป็นข้อกำหนดหลัก การเปิดให้ทุกรูปแบบการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง สามารถดำเนินการได้ใน ทุกพื้นที่ โดยมีข้อกำหนดที่โปร่งใสและเป็นธรรม จะทำให้ระบบพลังงานไทยแข่งขันได้จริง กระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ และสอดคล้องกับเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดที่ยั่งยืน” รองประธาน กมธ.พลังงานกล่าว
สส.พรรคประชาชน กล่าวว่า การอนุญาตที่แท้จริง ควรเป็นการเปิดเสรี ไม่ใช่กำหนดเขตอภิสิทธิ์ หลักเกณฑ์ IPS ฉบับนี้มีลักษณะของ “การอนุญาตแบบมีเงื่อนไขเฉพาะกลุ่ม” มากกว่าจะเป็นกติกาที่สร้างการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ข้อจำกัดเชิงพื้นที่และข้อห้ามต่อรูปแบบธุรกิจสมัยใหม่ เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของระบบพลังงานกระจายศูนย์ และตอกย้ำความเหลื่อมล้ำทางโอกาสในภาคธุรกิจ การเปลี่ยนผ่านพลังงานไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง หากยังมีเพียงบางกลุ่มในบางพื้นที่เท่านั้นที่ได้รับสิทธิพิเศษในการเลือกใช้พลังงานของตนเอง ถึงเวลาแล้วที่หลักเกณฑ์ต้อง “เปิดกว้างให้ทุกพื้นที่ ทุกธุรกิจ และทุกเทคโนโลยี” บนหลักการเดียวกันอย่างเท่าเทียม
เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญต่ออนาคตของระบบพลังงานไทย โดยจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาอย่างเป็นทางการใน คณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 12 มิถุนายน 2568 และอยากเชิญชวนประชาชนทุกคนร่วมกัน แสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ได้ที่ https://www.erc.or.th/th/listen-to-opinions/567 ภายในวันที่ 10 มิถุนายน 2568 นี้ เพื่อให้พลังเสียงของประชาชนคือพลังขับเคลื่อนการปฏิรูปพลังงานอย่างแท้จริง

