“ ข่าวสารบ้านเมืองห้วงเวลานี้ดูเหมือนจะเข้มข้นชวนติดตามไม่ว่าจะเป็นการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)ที่นายทักษิณ ชินวัตร พ่อนายกรัฐมนตรี อยากดึงกระทรวงมหาดไทยที่อยู่ในมือนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มาอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทย เพราะผลงานไม่ค่อยเข้าตา“

รวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ร้อนระอุทั้งในพื้นที่และสื่อโซเซียล ที่ประชาชนทั้งสองชาติเปิดศึกถล่มกันแบบไม่ยั้ง สร้างความเห็นต่างที่พร้อมจะนำไปสู่ความแตกแยกของคนในชาติ ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาขยับแบบเปิดเกมรุกถึงขั้นฟ้องศาลโลก แต่รัฐบาลไทยกับนิ่งเฉยปล่อยเวลาทิ้งห่างจนคนในชาติรู้สึกอึดอัดเพิ่งมาออกแถลงการณ์จุดยืนเมื่อเช้าวันที่ 4 มิถุนายนนี้
ทั้งสองประเด็นสื่อทุกสำนักต่างนำเสนอกันค่อนข้างละเอียด”จอมมารน้อย”ขอติดตามดูติดตามชมไปพรางๆก่อน แต่ขอนำเสนอประเด็นที่หลายคนอาจมองว่าเล็กๆ นั่นคือการบริการของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งอาจจะเป็นประเด็นเดิมๆที่ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราประสบเจอมาโดยตลอด บางครั้งทำให้ผู้ใช้บริการต้องเสียเวลาและเสียโอกาสกับความไร้สำนึกของพวกข้าราชการบางคนบางกลุ่ม ขอหยิบประสบการณ์จริงที่พรรคพวกพบเจอมาถ่ายทอดให้ฟังสัก 2 กรณี
กรณีแรกเหตุเกิดช่วงกลางดึกวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม แม่ของพรรคพวกเสียชีวิตที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ต้องเคลื่อนศพไปบำเพ็ญกุศลที่ อ.เมือง สงขลา ตามกฎหมายระบุว่าเมื่อมีคนตายไม่ว่าจะตายในบ้าน นอกบ้าน หรือในสถานพยาบาล ตายตามธรรมชาติหรือผิดธรรมชาติ ผู้มีหน้าที่แจ้งการตายคือเจ้าบ้าน บุคคลที่ไปกับผู้ตายหรือผู้พบศพหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ต้องแจ้งการตายต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่มีคนตายหรือพบศพหรือท้องที่ที่มีการจัดการศพ ภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่เวลาตายหรือพบศพ
เช้าของเกิดเหตุพี่สาวเดินทางไปแจ้งที่สำนักงานเทศบาลนครยะลา เจ้าหน้าที่ให้เขียนคำร้องแล้วบอกว่าวันนี้เป็นวันหยุดค่อยมายื่นคำร้องวันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พี่สาวแจ้งว่าต้องนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่สงขลา เจ้าหน้าที่ยังยืนยันคำเดิมว่าให้แจ้งตายวันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พี่สาวเดินทางกลับพร้อมเคลื่อนศพแม่ไปสงขลา โดยไม่มีใบมรณะบัตร มีแต่ใบรับรองการตายของโรงพยาบาลฯ
ทำให้อดสงสัยว่าถ้าจะตายต้องตายในเวลาราชการเท่านั้นหรือ ต่อมาทราบจากญาติว่าทางเทศบาลนครยะลาได้จัดสถานที่แจ้งตายไว้อีกจุดหนึ่งบริการทุกวัน พี่สาวเขาบอกว่าเจ้าหน้าที่เทศบาลฯไม่ได้บอกอะไรเลยพูดอย่างเดียวว่าค่อยมาแจ้งวันจันทร์เท่านั้น
เมื่อเคลื่อนศพถึงวัดที่สงขลาผู้จัดการศพถามหาใบมรณะบัตร บอกว่ายังไม่มี ผู้จัดการศพบอกว่าค่อยนำมาให้ก่อนวันฌาปนกิจพร้อมแนะนำให้ไปแจ้งที่เทศบาลนครสงขลา ครั้นถึงวันที่จันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พี่สาวไปแจ้งที่เทศบาลนครสงขลา เจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องหาญาติมาสอบปากคำ มีข้าราชการรับรองและต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4ชั่วโมงถึงจะออกใบมรณะบัตรให้
พี่สาวกลับมาด้วยอาการไม่ค่อยปลื้ม เขาจึงบอกกับพี่สาวว่าอยู่เฉยขอโทรศัพท์คุยกับเพื่อนที่เทศบาลนครสงขลาก่อน จากนั้นเพื่อนของเขาบอกว่าให้เข้าไปแจ้งเลยใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงทุกอย่างเรียบร้อย จบด้วยระบบอุปถัมภ์
กรณีที่ 2 เหตุเกิดที่สถานีขนส่งยะลา เขาเล่าว่าน้องชายอาศัยอยู่ที่ จ.พังงา เดินทางมาธุระที่ จ.ยะลา ใช้บริการรถบัสโดยสารสองชั้นสายภูเก็ต-ยะลา ทำธุระเสร็จจะเดินทางกลับในวันที่ 1 มิถุนายน จึงไปจองตั๋วที่สถานีขนส่งยะลา วันที่ 31 พฤษภาคม พนักงานขายตั๋วขอเบอร์ติดต่อไว้เรียบร้อย
เช้าวันที่ 1 มิถุนายน เดินทางไปขึ้นรถพร้อมผู้โดยสารคนอื่นๆกว่า 30 คน ระหว่างนั่งรอทุกคนได้รับโทรศัพท์แจ้งจากพนักงานขายตั๋วว่าให้ติดต่อช่องจำหน่ายตั๋วเพื่อรับเงินค่าโดยสารคืนพร้อมแจ้งว่ามีกฎหมายห้ามรถบัสสองชั้นวิ่งในเส้นทางหลวงหมายเลขที่ 4 ช่วงเขาพับผ้า-พัทลุง มีผลวันที่ 1 มิถุนายน
น้องชายเขาเล่าว่า เกิดความโกลาหล ผู้โดยสารหลายคนจองตั๋วล่วงหน้ากว่า 1 สัปดาห์ บางคนจองล่วงหน้า 2-3 วัน จึงโวยวายกับพนักงานขายตั๋วว่าทำให้เขาเสียเวลา เสียโอกาสนัดหมายเกี่ยวกับธุรกิจ ทำไมไม่โทรศัพท์แจ้งก่อนทั้งๆที่มีเบอร์ติดต่อทุกคนและเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งยะลาต้องสั่งไม่ให้จำหน่ายตั๋วเส้นทางนี้ ปรากฏว่า ไร้เสียงตอบทั้งจากพนักงานขายตั๋วและเจ้าหน้าที่ขนส่งฯ
ทั้งสองกรณีที่ยกมาเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหน ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐยังมีพฤติกรรมแบบเดิมๆไร้ความกระตือรือร้นที่จะให้บริการ ขาดการศึกษาหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของตัวเอง แต่กลับเรียกร้องค่าตอบแทนสูงและที่สำคัญประชาชนอย่างพวกเรายังต้องจ่ายภาษีเลี้ยงข้าราชการที่ทำหน้าที่ห่วยๆแบบนี้ไปจนตายอีกต่างหาก
ดังนั้นที่สังคมไทยดำรงอยู่แบบไร้หลักเกณฑ์ ธุรกิจเถื่อน คนต่างด้าวเถื่อนและอาชญากรรมเกลื่อนเมือง จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แถมมีแนวโน้นสูงที่จะอยู่กันแบบเถื่อนๆโดยประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเราได้แต่ก้มหน้ารับสภาพแบบทำใจ !!!


