“ศ.จาเหวิน” ชี้ BRI ประสบความสำเร็จสูง ย้ำอาเซียนมีอิสระไม่พึ่งจีนฝ่ายเดียว !!

518

“ศาสตราจารย์จีนบรรยายพิเศษ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”  ชี้ ประสบความสำเร็จสูง – ย้ำประเทศอาเซียนยังมีอิสระทางยุทธศาสตร์ ไม่พึ่งจีนฝ่ายเดียว พร้อมแจงวาทะกรรมจากสื่อตะวันตก”การทูตเงินกู้” ไม่ใช่ข้อเท็จจริง

ปักกิ่ง, 10 พฤษภาคม 2568 – เวลา 09.00 น. ศาสตราจารย์ จาเหวิน (Zha Wen)แห่งสถาบันวิเทศสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยกิจการต่างประเทศจีน บรรยายหัวข้อ “ความแน่นอน ท่ามกลางความไม่แน่นอน “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ให้กับผู้เข้าร่วมโครงการพัฒนาทักษะผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนไทย (สบทจ.1) โดยมี ผศ.ดร.สืบพงศ์ ปราบใหญ่ ประธานหลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน และที่ปรึกษาหลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน ในฐานะหัวหน้าคณะฯ

ศ.จาเหวิน ได้กล่าวถึงภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก พร้อมชี้ว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ ท่ามกลางกระแสความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกลับสู่ทำเนียบขาวในปีนี้ ทำให้เกิดการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า การถอนตัวจากข้อตกลงระหว่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างไม่มีเสถียรภาพ

โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศ ขึ้นภาษีนำเข้าในภูมิภาคเอเชีย เมื่อเดือนที่ผ่านมา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศในกลุ่มอาเซียนซึ่งพึ่งพาการส่งออก ศ.จาเหวิน กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนตกต่ำลง นักลงทุนลังเลต่อการลงทุนในภูมิภาค ขณะที่ผลสำรวจของ IMF ระบุว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 3.3% ลดลงหลังประกาศนโยบายของสหรัฐฯ และ WTO คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกอาจลดลง 0.2% จากผลของนโยบายภาษีใหม่นี้

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ศ.จาเหวินได้เน้นย้ำว่า “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (BRI) ของจีนยังคงแสดงถึง เสถียรภาพ ความยืดหยุ่น และเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจโลก ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา BRI ได้ลงนามข้อตกลงกับ 152 ประเทศ และ 32 องค์กรระหว่างประเทศ รวมกว่า 200 ฉบับ มูลค่าการลงทุนรวมทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 600,000 ล้านดอลลาร์ ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โครงการสำคัญ เช่น รถไฟจีน-ลาว และ จาการ์ตา-บันดุง สามารถดำเนินการสำเร็จแม้เผชิญวิกฤตโควิด-19 โดยธนาคารโลกชี้ว่าโครงการ BRI ช่วยลดเวลาในการเดินทางลง 12% เพิ่มรายได้ประชาชน 3.4% และยกระดับคุณภาพชีวิตในภูมิภาค

โครงการรถไฟจีน-ยุโรป ซึ่งปัจจุบันเชื่อมโยง 227 เมืองใน 25 ประเทศ ถูกยกให้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่ช่วยรักษาเสถียรภาพด้านอุปทานในช่วงวิกฤต เช่น โควิด-19 และยังมีข้อดีด้านเศรษฐกิจสีเขียว เนื่องจากลดการปล่อยคาร์บอนมากกว่าการขนส่งทางอากาศหรือทางทะเล

ศ.จาเหวิน ยังเน้นว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นสถานีแรกและเป็นต้นแบบของความร่วมมือภายใต้ BRI ด้วยเส้นทางเศรษฐกิจหลักที่เชื่อมจีนกับภูมิภาคนี้ เช่น เส้นทางจีน-อินโดจีน และจีน-ปากีสถาน โดยจีนพึ่งพาการขนส่งผ่านช่องแคบมะละกาและทะเลจีนใต้ ซึ่งแสดงถึงความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาค

การเยือนเวียดนาม กัมพูชา และมาเลเซียของ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เมื่อเดือนเมษายน ตอกย้ำยุทธศาสตร์ “เพื่อนบ้านมาก่อน” และความตั้งใจของจีนในการผลักดันความร่วมมือทางการทูตและเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

ศ.จาเหวิน อ้างผลสำรวจของ สถาบันเอเชียอาคเนย์ (ISEAS-Yusof Ishak Institute) ในสิงคโปร์ ปี 2024 พบว่า 59.5% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าจีนมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่สหรัฐฯ ได้เพียง 14.3% โดยเฉพาะในไทย ผู้ตอบมากกว่า 70% มองว่าจีนแซงหน้าสหรัฐฯ ไปแล้ว

ในด้านโครงการเฉพาะ ศ.จาเหวิน กล่าวถึงความสำเร็จของ รถไฟจีน-ลาว ที่เชื่อมคุนหมิงกับหลวงพระบาง และช่วยให้ การส่งออกผลไม้ไทยลดเวลาเหลือเพียง 2 วัน จากเดิม 8-10 วัน ทำให้ต้นทุนลดลง และประชาชนจีนสามารถซื้อทุเรียนในราคาถูกลงได้อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้ง โครงการ รถไฟสายตะวันออกของมาเลเซีย ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2027 และโครงการ รถไฟจีน-ไทย ที่ปัจจุบันเสร็จไปแล้วกว่า 36% ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญ โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ร่วมกับจีนเร่งเดินหน้าเฟสที่สอง

อย่างไรก็ดี โครงการ BRI ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากโลกตะวันตกในประเด็น “การทูตเงินกู้” โดยเฉพาะกรณีของ ศรีลังกา แต่ ศ.จาเหวิน ชี้แจงว่า เงินกู้จากจีนคิดเป็นเพียง 10% ของหนี้ทั้งหมด ขณะที่กว่า 47% เป็นของสถาบันการเงินตะวันตก และการกล่าวหานี้เป็น “วาทกรรม” มากกว่า “ข้อเท็จจริง”

สำหรับไทย ศ.จาเหวิน เปิดเผยว่า ประเทศไทยไม่มีเงินกู้จากจีน และถือเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของจีนในด้านความร่วมมือแบบยั่งยืน ไม่ขึ้นกับอำนาจทางทหารหรือความสัมพันธ์ทางค่านิยมแบบที่สหรัฐฯ นิยมใช้ และท่ามกลางโลกที่ผันผวน “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ยังคงเป็นเสาหลักที่ช่วยอัดฉีดความมั่นคงให้เศรษฐกิจโลก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะยังคงเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในการกำหนดทิศทางของอนาคตโลก

นอกจากนี้ ศ.จาเหวิน ฯ ได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมอบรมซักถามและแลกเปลี่ยนมุมมองอย่างเปิดกว้าง โดยเน้นถึงความสำเร็จของโครงการ BRI ว่า “ประสบความสำเร็จอย่างมาก และจะยิ่งประสบความสำเร็จมากขึ้นในอนาคต” พร้อมชี้ว่าความสำเร็จนี้จะดึงดูดให้ประเทศที่ยังไม่เข้าร่วมต้องการเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น และแม้ว่าจะมีปัจจัยท้าทายจากสถานการณ์โลก ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายที่เปลี่ยนแปลง เช่น นโยบายของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ แต่โครงการ BRI มีความ “ยืดหยุ่น” ไม่ใช่โครงการที่ถูกกำหนดไว้อย่างตายตัว จึงสามารถปรับตัวตามสถานการณ์เพื่อผลักดันเป้าหมายของ “อนาคตร่วมกันที่ดีขึ้น” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในด้านเศรษฐกิจ ผู้ร่วมอบรมได้ตั้งคำถามว่า ท่ามกลางปัญหาภายในของจีน อาทิ การบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัว วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ และภาษีการค้าจากสหรัฐฯ ที่สูงกว่า 140% อาจกระทบต่อเงินทุนที่ใช้ในโครงการ BRI หรือไม่ ศ.จาเหวิน ตอบว่า จีนไม่ได้เน้น “การเติบโตเชิงปริมาณ” เหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่เน้น “คุณภาพการเติบโต” แทน พร้อมมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นควรเรียกว่า “ความท้าทาย” มากกว่าปัญหา

เมื่อถูกถามถึงบทบาทของประเทศอาเซียนในโครงการ BRI ศาสตราจารย์จาเหวินระบุว่า จีนให้ความสำคัญกับทุกประเทศในอาเซียนอย่างเท่าเทียมกัน แม้ว่าเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากจะไหลเข้าสิงคโปร์มากที่สุดก็ตาม โดยอธิบายว่า สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Center) ของภูมิภาค แต่ไม่ได้หมายความว่าสิงคโปร์มีความสำคัญเหนือกว่าประเทศอื่น

สำหรับข้อกังวลเรื่อง “การพึ่งพาจีนมากเกินไป” โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศ.จาเหวิน ได้กล่าวในฐานะผู้ศึกษาเรื่องภูมิภาคนี้ว่า “หากมองจากประวัติศาสตร์ จะเห็นว่าประเทศในภูมิภาคนี้มีความสามารถในการรักษาสมดุลอำนาจระหว่างประเทศมหาอำนาจได้เป็นอย่างดี และไม่เคยผูกติดกับประเทศใดประเทศหนึ่งอย่างเด็ดขาด”

อีกทั้งยังระบุ ลักษณะ “วัฒนธรรมยุทธศาสตร์” ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่าเป็นลักษณะของ “ความยืดหยุ่น” และการทูตที่เน้นความสมดุล เช่น “การทูตแบบไม้ไผ่” ของไทย ที่ลู่ลมตามสถานการณ์แต่ไม่หัก และสามารถอยู่ในจุดที่ได้เปรียบเสมอ พร้อมยกตัวอย่างว่า เวียดนามก็เริ่มกล่าวถึงการทูตในลักษณะนี้มากขึ้นในช่วงหลัง “ประเทศเล็กหรือประเทศขนาดกลางในภูมิภาคนี้มักมีทางเลือกอยู่เสมอ และจีนก็ไม่ใช่พันธมิตรเพียงหนึ่งเดียว” 

จากมุมมอง ดังกล่าวเป็นการสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า แม้โครงการ BRI จะเป็นยุทธศาสตร์ใหญ่ของจีน แต่ในเวทีระหว่างประเทศโดยเฉพาะในอาเซียน ประเทศต่างๆ ยังคงรักษาอธิปไตยเชิงยุทธศาสตร์ และเลือกทิศทางที่เอื้อต่อประโยชน์สูงสุดของตนเองอย่างระมัดระวังและยืดหยุ่นเสมอ