“ อ่านข่าว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังรับตำแหน่งครบ 6 เดือนว่าจะเร่งพัฒนางานสอบสวนที่กำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ถัดมาไม่กี่วันนัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมงานสอบสวน มีทั้ง รอง ผบ.ตร. อดีตรอง ผบ.ตร.และอดีตตำรวจมือสอบสวนชั้นครูร่วมประชุม“

ในที่ประชุม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ บอกว่าจะเน้นรับฟังความเห็น ปัญหาข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพนักงานสอบสวนจากผู้เข้าร่วมประชุม รวมถึงแนวทางการสร้างขวัญกำลังใจพนักงานสอบสวนได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถดำรงตนในความยุติธรรมได้อย่างสมศักดิ์ศรี
จากความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนได้อย่างขัดเจนว่างานสอบสวนอยู่ในภาวะวิกฤตจริงๆ ตรงกับความเห็นของ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) สะท้อนว่าพนักงานสอบสวนขาดแคลนในระดับวิกฤต งานล้นมือ ทำให้เกิดภาวะเครียด บางรายป่วย บางรายหมดแรงจูงใจในการทำงาน จนสังคมเริ่มตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม
พล.ต.อ.เอก ระบุว่าย้อนกลับไปในปี 2559 รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มีคำสั่งยกเลิก”แท่งพนักงานสอบสวน”ทำให้พนักงานสอบสวนไม่มีเส้นทางความก้าวหน้าในสายงานของตัวเอง ทั้งที่ต้องรับผิดชอบงานที่หนักที่สุดในระบบตำรวจ หลายคนจึงย้ายไปสายอื่นที่มีโอกาสเติบโตมากว่าเช่น งานสืบสวน ปราบปราม ตรวจคนเข้าเมืองหรือท่องเที่ยว
“ส่งผลให้สถานการณ์แย่ลงเมื่อมีปัญหาสะสม เช่นค่าตอบแทนการทำสำนวนน้อยไม่พอเลี้ยงชีพ ขาดผู้ช่วย ขาดเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็น คดีออนไลน์เพิ่มขึ้นมหาศาล ปี 2566-67 เฉลี่ยวันละ 800 คดี รวมปีละเกือบ 300,000 คดี พนักงานสอบสวนคนหนึ่งต้องรับผิดชอบ 200-300 คดี/ปี ทั้งทีมาตรฐานไม่ควรเกิน 70 คดี”พล.ต.อ.เอกระบุและว่ามีตำแหน่งพนักงานสอบสวนทั่วประเทศ 18,000 ตำแหน่ง แต่มีคนทำงานจริงเพียง 12,000 คน ขาดแคลนถึง 6,000 คน ผลที่ตามคือกระบวนการสอบสวนล่าช้าประชาชนต้องวิ่งเต้นกับสื่อหรืออินฟูลเอนเซอร์ เพื่อให้คดีของตนคืบหน้า ความเชื่อมั่นในตำรวจถดถอยอย่างน่ากังวล
หากมองอย่างวิเคราะห์ถึงเสียงสะท้อนของ พล.ต.อ.เอก น่าจะอนุมานได้ว่านี่คือมรดกบาปที่ รัฐบาลเผด็จทหารกระทำต่อองค์กรตำรวจ เพราะถ้ามองย้อนไปถึงการพัฒนางานสอบสวน จนสามารถยกระดับแท่งพนักงานสอบสวน ที่ทำให้พนักงาสอบสวนมองเห็นเส้นทางก้าวหน้าในสายงานได้โดยไม่ต้องวิ่งเต้นหรือนำปัจจัยไปประเคนให้กับผู้อำนาจเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น
ผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่ละยุคต่างทุ่มเทระดมแนวคิดพร้อมหาช่องทางผลักดันให้พนักงานสอบสวนได้ก้าวหน้าด้วยการใช้ผลงานเป็นเครื่องนำทาง อย่างหนัก ถึงบรรลุเป้าหมายในรูปแบบของ “แท่งพนักงานสอบสวน”ได้
เมื่อผลักดันออกมาบังคับใช้ พนักงานสอบสวนดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ต่างขอทำหน้าที่พนักงานสอบสวนไปจนกว่าจะติดยศนายพล เพราะไม่ต้องไปวิ่งเต้นหาขั้วอำนาจให้สนับสนุนนอกจากจะเสียเวลาแล้วต้องควักกระเป๋าจ่ายอีกต่างหาก
ยิ่งในช่วงปี 2-3 ปีที่ คสช.เรืองอำนาจ รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปล่อยอำนาจให้นายพลเด็กบริหารจัดการแต่งตั้งโยกย้ายได้ตามอำเภอใจ โดย ผบ.ตร.ตำรวจต่างคาดหวังว่าจะพัฒนา ตร.ให้รุดหน้าในทุกด้านเป็นได้แค่เจว็ด
จังหวะเดียวกันหัวหน้าคสช.สั่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจขึ้นมาอย่างน้อย 2 ชุด แต่ละชุดถูกบรรดาตำรวจอาชีพวิจารณ์ว่าองค์กรตำรวจคงจะพบกับความวิบัติแน่นอน เพราะกรรมการหลายคนไม่เข้าใจงานตำรวจ บางคนพกอคติล้วนๆมาเพื่อปฏิรูปองค์กรตำรวจให้เป็นไปตามที่ตัวเองคาดหวัง
ในที่สุดใช้เวลากว่า 8 ปี ถึงคลอดกฎหมายตำรวจ 2565 ออกมา ทั้งที่ในความเป็นจริงถ้าหัวหน้า คสช.อยากปฏิรูปตำรวจจริงควรได้ข้อยุติภายใน 1-2 ปีแล้ว ไม่ใช่ลากยาวแล้วปล่อยให้นายพลเด็กปู้ยี่ปู้ยำ จนองค์กรเสื่อมทรุด และกลายเป็นช่องว่างให้ตำรวจใหญ่หลายนายนำตำแหน่งหน้าที่เอื้อให้กับธุรกิจสีเทา
พนักงานสอบสวนเมื่อแท่งถูกยกเลิก เพื่อความก้าวหน้าต้องวิ่งเต้นไปอยู่ในสายงานที่สามารถหาผลประโยชน์ได้ เพื่อใช้เป็นปัจจัยจ่ายผู้มีอำนาจให้ได้มาซึ่งตำแหน่งที่สูงขึ้น งานสอบสวนจึงตกอยู่ในภาวะวิกฤตที่ต้องเร่งกอบกู้
การที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เริ่มขยับถือเป็นนิมิตหมายที่ดี แต่ถ้ามองถึงเส้นทางแล้วกว่าจะสำเร็จคงต้องผ่านอีกหลายด่าน โดยเฉพาะแรงสนับสนุนจากรัฐบาล ตามที่ พล.ต.อ.เอก ฟันธงว่าอุปสรรคสำคัญคืองบประมาณที่ไม่เพียงพอ รัฐบาลจะต้องเป็นฝ่ายผลักดันและสนับสนุนอย่างจริงจัง
ดังนั้นคงต้องช่วยกันลุ้นให้”พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” เดินหน้ายกเครื่องงานสอบสวนที่เปรียบเสมือนมรดกบาปที่คสช.ทิ้งไว้ บรรลุเป้าหมายก่อนเกษียณอายุในปี 2569 !!!
