
กรุงปักกิ่ง, 27 เมษายน 2568 — เวลา 14.00 น. ศาสตราจารย์ ไป๋ ฉุน (Bai Chun) อาจารย์ด้านเอเชียตะวันออก มหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่ง ได้บรรยายหัวข้อพิเศษ “จีน : เบิร์ดอายวิว” ให้แก่ผู้เข้ารับการอบรมในโครงการพัฒนาทักษะผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนไทย ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และศูนย์การศึกษาและฝึกอบรม สำนักสารนิเทศต่างประเทศแห่งประเทศจีน หรือ CICG

โดยมี ผศ.ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ ประธานหลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน และที่ปรึกษาหลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน ในฐานะหัวหน้านำคณะฯ เข้าร่วมฟังการบรรยาย เพื่อเพิ่มพูนความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศจีนอย่างลึกซึ้ง
ศ.ไป๋ ฉุน เริ่มต้นการบรรยายด้วยการย้อนรำลึกว่า เมื่อ 20 ปีก่อน เคยได้พบกับคณะสื่อมวลชนไทย นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเดินทางไปศึกษาดูงานที่ทิเบต ดินแดนที่ศักดิ์สิทธิ์ทางวัฒนธรรม หลังการเยือนนั้น คณะสื่อมวลชนต่างสะท้อนประสบการณ์หลากหลาย ตั้งแต่ความประทับใจในความกว้างใหญ่ของทิเบต จนถึงความท้าทายในการสื่อสารที่ต้องผ่านล่ามสองขั้นตอน
หลังจากการเดินทางกลับมา ศ.ไป๋ ฉุน ได้เขียนคอลัมน์ “เรื่องเล่าจากปักกิ่ง” ในนามปากกา “ประชา พิสุทธิกุล” ในเนชั่นสุดสัปดาห์ แม้งานเขียนด้านการเมืองจะไม่ได้รับความนิยมเท่าบทความด้านวัฒนธรรมจีน แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-จีนอย่างกว้างขวาง

ศ.ไป๋ ฉุน ได้แบ่งการบรรยายออกเป็น 6 หัวข้อย่อย โดยเริ่มจาก สายน้ำและอารยธรรม อธิบายถึงความสำคัญของแม่น้ำสองสายหลัก คือ แม่น้ำเหลือง (ฮวงโห) และแม่น้ำฉางเจียงซึ่งก่อให้เกิดอารยธรรมสำคัญ ได้แก่ วัฒนธรรมหยางเสา วัฒนธรรมหงซาน ราชวงศ์เซี่ย และราชวงศ์ซาง รวมถึงอารยธรรมลุ่มแม่น้ำฉางเจียง เช่น วัฒนธรรมเหอหมู่ตี้และเหลี่ยงจู่
ศ.ไป๋ ฉุน ยังได้อ้างอิงคำกล่าวของ ดร.หลิน หยู่ถัง (林语堂) นักปรัชญาและนักเขียนชื่อดังของจีนว่าวัฒนธรรมภาคเหนือมีลักษณะ “แข็งแกร่ง ห้าวหาญ” ขณะที่วัฒนธรรมภาคใต้มีความ “อ่อนโยน ละมุนละไม” โดยสะท้อนให้เห็นผ่านภาษา ดนตรี และบทกวีในแต่ละภูมิภาค
“‘พร้อมทั้งยกตัวอย่างจากพระราชนิพนธ์ของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เรื่อง “มุ่งไกลในรอยทราย” เป็นการบันทึกการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 7-21 เมษายน 2533 ซึ่งสื่อถึงความรู้สึกอิสรภาพและความท้าทายของชีวิตในผืนทะเลทรายกว้างใหญ่ สอดคล้องกับบทกวีจีนโบราณ “การเดินทางหมื่นลี้ในทะเลทราย”
ศ.ไป๋ ฉุน ได้กล่าวถึงสถานการณ์ประชากรจีนในปัจจุบันว่า ณ ปี 2567 จีนมีประชากรประมาณ 140,828,000 คน ถ้าเทียบปี 2566 ลดลง 1,390,000 ล้านคน มากเป็นอันดับ2ของโลก แต่มีการพัฒนาด้านคุณภาพประชากรอย่างต่อเนื่อง โดยการย้ายถิ่นฐานจากชนบทสู่เมือง ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างภาคตะวันออกและภาคตะวันตกในยุคหนึ่ง แต่ปัจจุบันรัฐบาลจีนกำลังเร่งพัฒนาให้เกิดความเท่าเทียม
ในด้านชาติพันธุ์ จีนมี 56 กลุ่มชาติพันธุ์ โดยชนชาติฮั่นคิดเป็น 91.5% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่อีก 8.5% เป็นชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ แต่การบันทึกข้อมูลประชากรระบุเพียง “สัญชาติจีน” เพื่อสะท้อนแนวคิดแห่งความเป็นเอกภาพ การบรรยายยังกล่าวถึงงานของ William Clifton Dodd มิชชันนารีชาวอเมริกันที่ศึกษาเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ไทในไทย และ ดร.เทียน หยงหุย (田永辉) นักชาติพันธุ์วิทยาชาวจีนผู้มีบทบาทสำคัญในการวิจัยกลุ่มชาติพันธุ์ไทในจีนตะวันตกเฉียงใต้

นอกจากนี้ ยังได้มีการแลกเปลี่ยนที่มาของคำว่า 中泰一家亲 หรือ “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน”เป็นสำนวนที่ใช้สื่อถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง ประเทศจีน กับประเทศไทย ว่าใกล้ชิดกันมาก ราวกับเป็นญาติพี่น้องกัน ไม่ใช่คนแปลกหน้า เพื่อเน้นย้ำถึงสายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น
‘โดยผู้เข้าอบรมได้แลกเปลี่ยนว่า จากการศึกษาและได้สอบถามถึงที่มาของคำนี้จาก อู่ จื้ออู่ (吴志武) อุปทูตจีน ทราบต้นฉบับมาจาก หลวงวิจิตรวาทการ นักการเมืองและนักประพันธ์ชื่อดังของไทย มีรากฐานมาจากเพลง “จีนไทยสามัคคี”ต่อมาฝ่ายจีนได้ใช้ชื่อภาษาจีนว่า” 中泰一家亲” ในช่วงที่ ท่าน เติ้งเสี่ยวผิง รองนายกรัฐมนตรีจีนในขณะนั้น มีบทบาท และในช่วงที่เดินทางไปเยือนไทยครั้งแรก เพื่อสื่อถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นเฉพาะกับประเทศไทย โดยจีนไม่ใช้คำนี้กับประเทศอื่น เป็นการสะท้อนถึงสายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งระหว่างสองประเทศ ” ศ.ไป๋ ฉุน ฯ ยังบรรยายถึงการแบ่งเขตการปกครองและระบบการเมือง, เศรษฐกิจจีน, วัฒนธรรมและลัทธิประเพณี โดยไทยมีสิ่งที่คนจีนให้ค่าและนิยม อยู่ 3 เรื่อง คือ การท่องเที่ยว อาหารไทยและContent ละครและโฆษณาไทย ที่ชวนประทับใจ เป็นต้น
ทั้งนี้ การบรรยายตลอดช่วงบ่ายเป็นไปอย่างคึกคัก ผู้เข้าร่วมอบรมต่างให้ความสนใจและสลับกันตั้งคำถามอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำถึงความกระตือรือร้นในการเรียนรู้เกี่ยวกับจีนในมิติต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างสะพานแห่งมิตรภาพและความเข้าใจระหว่างไทยกับจีนในอนาคต

