“ ก่อนถึงเทศกาลสงกรานต์ปีที่แล้ว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.)นั่งรักษาการ ผบ.ตร.ช่วงวิกฤตศรัทธาและตำรวจขาดขวัญกำลังใจในการทำงาน ได้ออกมาปลุกขวัญตำรวจให้ช่วยกันอำนวยความสะดวกและรักษาความสงบเรียบร้อยในช่วงสงกรานต์ ด้วยการขายฝันของตัวเองให้ตำรวจซื้อโดยไม่ต้องเสียเงิน เพียงนำผลงานมาแลกเพื่อความก้าวหน้าในหน้าราชการ ปรากฏว่าตำรวจแห่ซื้อจำนวนมาก ทำให้ตำรวจได้รับคำชมทั้งจากรัฐบาลและประชาชนว่าควบคุมสถานการณ์ความสงบและอำนวยความสะดวกได้เป็นอย่างดี“

มาปีนี้เห็นที พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ผู้นำสีกากีเสียงจริงตัวจริง คงต้องออกนโยบายขายฝันอีกรอบ เพราะเพียงแค่ชิมลางสัปดาห์สุดท้ายก่อนเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์อย่างเป็นทางการ เอกชนจัดงานโคตรเปียก ชื่องานสื่อว่าต้องเล่นสาดน้ำกันแบบฉ่ำๆ ที่บริเวณลานจอดรถห้างดังย่านบางกะปี ผู้จัดเป็นลูกชายของคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารตำรวจ(กต.ตร.)โรงพักลาดพร้าว
ภายในงานกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมากฉลองกันสุดเหวี่ยง จนเขม่นกันแล้วเคลียร์ไม่ลงตัวเกิดเหตุชักปืนยิงตาย 1 ศพ นักข่าวที่เข้าไปทำข่าวถูกคุกคามข่มขู่กักขัง ตามที่สื่อหลายสำนักเสนอข่าวไปแล้วและมีคำถามจากสังคมมากมายว่าจัดงานกลางกรุง ไม่ตรวจอาวุธปืนก่อนเข้างานหรืออย่างไร หรืออาจเพราะเป็นลูกชาย กต.ตร.ตำรวจเลยปล่อยผ่าน ผลจะลงเอยอย่างไรต้องติดตาม
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”ประดู่แดง”อดห่วงไม่ได้ว่าช่วงสงกรานต์ที่จะระเบิดความสนุกในวันเสาร์ที่ 12 เมษายนนี้เป็นต้นไป จะมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกับงานโคตรเปียกหรือไม่ ?
เพราะปีนี้รัฐบาลประกาศยกระดับเป็นเทศกาลระดับโลก จ้างบุคคลมีชื่อเสียงระดับโลกเป็นแอมบาสเดอร์ เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกร่วมเทศกาลสาดน้ำสงกรานต์ เชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวเกือบทั่วโลกหลั่งไหลเข้าร่วมงาน
ขณะที่คนไทยเตรียมเดินทางไปฉลองสงกรานต์ตามที่ต่างๆมีทุกภาคของประเทศโดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวต่างๆ จัดอย่างยิ่งใหญ่มีกิจกรรมต่างๆมากมาย รวมทั้งเดินทางกลับภูมิลำเนาไปฉลองกับครอบครัว สรงน้ำญาติผู้ใหญ่
ทุกๆปีหน่วยงานรัฐจะจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการเดินทางเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ มีมาตรการคุมเข้มเฝ้าระวัง” 7 วันอันตรายระหว่าง 11-17 เมษายน” แวดวงสื่อมวลชนต่างทราบกันดีว่าแต่ละวันจะสรุปสถิติอุบัติเหตุเจ็บตายและทรัพย์สินเสียจำนวนเท่าไหร่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะแถลงผลให้สื่อมวลชนทราบเพื่อนำเสนอ
ซึ่งสื่อมวลชนส่วนใหญ่จะเรียกว่าเทศกาลนับศพ นับคนเจ็บ แต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตช่วง 7 วันอันตรายหลายร้อยคน บาดเจ็บนับพัน ทรัพย์สินเสียหายหลายพันล้านบาท ส่วนการเล่นน้ำสงกรานต์ตามสถานที่ต่างๆแทบจะไร้เจ็บตาย เพราะตำรวจมีมาตรการคุมเข้ม
แต่ปีนี้การเล่นน้ำอาจจะเปลี่ยนไปแบบคาดไม่ถึงก็เป็นได้ เพราะสภาพสังคมไทยที่ค่อนข้างไร้ระเบียบ สภาพแวดล้อมมากด้วยยาเสพติดนานาชนิด อาทิ กัญชาที่เสรี น้ำใบกระท่อม ยาบ้า และยาอี เป็นต้น บวกกับกลุ่มวัยรุ่นมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว นิยมความรุนแรงมากขึ้น มีให้เห็นบ่อยครั้งทั้งหน้าเวทีคอนเสิร์ต เวทีหมอลำ และเวทีรถแห่ เขม่นกันแล้วยกพวกทำร้ายด้วยมีดหรือปืนที่ค่อนข้างหาได้ไม่ยากบทสรุปของคดีพบว่าต่างฝ่ายต่างเสพของมึนเมาหรือยาเสพติดชนิดต่างๆเข้าไป
ประกอบกับรัฐบาลยกระดับให้เป็นงานระดับโลกนักท่องเที่ยวหลากหลายชาติจะหลั่งไหลเข้ามา หลายกลุ่มนอกจากจะเล่นสาดน้ำแล้ว มีเป้าหมายเพื่อเสพของมึนเมา นักท่องเที่ยวในเชิงนี้จะทราบกันเป็นอย่างดีว่าสามารถหาซื้อยาเสพติดได้ที่ไหน
เมื่อมองบริบทโดยรวมแล้วพอที่จะทำนายได้ว่าสาดน้ำสงกรานต์ปีนี้มีโอกาสสูงที่จะเกิดเหตุร้ายแบบที่งานโคตรเปียก เพราะในกรุงเทพฯทั้งภาครัฐและเอกชนมีการจัดสาดน้ำถึง 196 จุด
ดังนั้นถ้าจะให้บรรยากาศสาดน้ำสงกรานต์เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเหตุร้าย เห็นที พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ต้องโชว์ศักยภาพเชิงบริหารด้วยการวางมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายเหมือนปีที่ผ่านมาในทุกพื้นที่ แต่ถ้าวางมาตรการป้องกันไม่เด็ดขาดพอ โอกาสจะซ้ำรอยแบบงานโคตรเปียกในหลายพื้นที่มีสูง
จากสงกรานต์สาดน้ำแบบฉ่ำๆอาจกลายเป็นสงกรานต์สาดเลือด และช่วง 7 วันอันตรายที่เคยนั่งนับแต่ศพจากอุบัติเหตุ ต้องมานั่งนับศพจากเหตุวิวาทควบคู่ไปด้วย !!!
