“ ข่าวแผ่นดินไหวเขย่าตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ถล่มฝังร่างคนงานเกือบร้อยชีวิต และข่าวรัฐบาลเดินหน้าลุยโครงการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และข่าวสหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นกำแพงภาษีส่งออกไทย ยึดพื้นที่ข่าวของสื่อกระแสหลัก กระแสลองและสื่อโซเชียล นำเสนอหลากหลายประเด็นอย่างต่อเนื่อง“

จนละเลยที่จะนำเสนอข่าวความเดือดร้อนของชาวบ้านระดับกลางถึงรากหญ้า มนุษย์เงินเดือน และเกษตรกร รวมถึงพ่อค้ารายย่อยทั้งในตลาดนัด ตั้งแผงขายข้างทาง เช่าหน้าร้านเปิดขายข้าวราเแกง หมูทอด ไก่ทอด และหมูปิ้ง เป็นต้น ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศที่กำลังประสบปัญหาค่าครองชีพพุ่งกระฉูด พ่อค้ารายย่อยต้องผจญกับต้นทุนของวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้นจนต้องแก้ปัญหาด้วยการขึ้นราคา ทำให้ยอดขายตกวูบ
ปัญหาลักษณะนี้”จอมมารน้อย”เคยนำเสนอหลายรอบนับแต่ยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อเนื่องมาถึงยุคนายเศรษฐา ทวีสิน และสู่ยุคน.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีนายทักษิณ ชินวัตร ผู้พ่อคอยกำกับ ปัญหามิได้เบาบางรังแต่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
พ่อค้าหมูปิ้งย่านรามคำแหง บอกว่าเช่าห้องเล็กๆเปิดขายหมูปิ้ง เปิดร้านเดือนธันวาคม 67 มีลูกค้าพอสมควร กำไรเพียงพอต่อค่าเช่าเดือนละ 6,000 บาท แต่ไม่คุ้มค่าแรงที่ลงไปแต่ต้องทำต่อเพราะคาดหวังว่ายอดขายจะกระเตื้องขึ้นมา ย่างเข้ามกราคมและกุมภาพันธ์ ยอดขายเพิ่มขึ้นหักค่าใช้จ่ายแล้วเท่าค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400 บาท
“แต่พอสู่เดือนมีนาคม ราคาหมูสดที่นำมาเสียบไม้จากเดิมราคา 100 บาท ช่วงมกราคมปรับมาที่ 120 บาท กุมภาพันธ์ปรับเป็น 130 บาท ขยับเป็น 152 บาท กลางเดือนมีนาคม แต่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคมปรับขึ้นที่เดียว 10 บาท เป็น 162 บาท ผมต้องปรับราคาตามจากไม้ละ 7 บาท เป็นไม้ละ 9 บาท วันที่ 1 เมษายน ขายราคาใหม่ปรากฏว่าลูกค้าบ่นเบาๆเมื่อแจ้งถึงความจำเป็น แต่ยอดขายยังอยู่ระดับที่น่าพอใจ วันถัดมาลดลงจากวันละ 400 ไม้ เหลือเพียง 200 ไม้ ถึงวันที่ 5 เมษายนยอดขายตกต่อเนื่อง ลูกค้าเก่ามาอุดหนุน แต่จำนวนลงจาก 10 ไม้เหลือเพียง 6 ไม้ “พ่อค้าหมูปิ้งบอกและว่าถ้ารัฐบาลไม่คิดจะช่วยเหลือด้านราคาวัตถุดิบที่เป็นต้นทุนให้ลดลงบ้าง เชื่อว่าผู้ค้าที่อยู่ย่านเดียวกันหลายคนและตนคงเก็บฉาก
ขณะที่พ่อค้าขาเสื้อผ้าตลาดนัดย่านปทุมธานีบอกว่า ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจทรุดหนัก เสื้อผ้าสำเร็จรูปขายได้น้อยมาก ปกติจะเดินสายขายเสื้อผ้าตลอด 7 วัน หมุนเวียนไปตามตลาดนัดต่างๆ จะขายได้เฉลี่ยวันละ 1,000-2,000 บาท พอคุ้มค่าเช่าเฉลี่ยวันละ 150 บาท แต่ทุกวันนี้บางวันแทบจะไม่พอกับค่าเช่าเพราะลูกค้าน้อยมาก พ่อค้าแม่ค้าที่ขายสินค้าประเภทเสื้อผ้า รองเท้า รวมถึงของใช้ที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตวันขายแทบไม่ได้
“ถ้าใครขับรถผ่านตลาดนัดใหญ่ๆถ้ามองจากภายนอกจะดูคึกคัก แต่ความจริงซบเซามากร้านค้าหายไปจำนวนมากเพราะไม่คุ้มกับค่าเช่า ถ้าตลาดนัดไหนมีพม่าเป็นเจ้าของแผงสินค้าชนิดต่างๆรับรองได้เลยว่าพ่อค้าคนไทยขายแทบไม่ออก เพราะคนเดินตลาดนัดส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวจะสนับสนุนพวกเดียวกัน”พ่อค้าคนเดิมระบุและว่าพวกต่างด้าวเป็นเจ้าของแผงได้อย่างไร รู้กันอยู่ ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐเข้าตรวจสอบพวกนี้ยินดีจ่ายให้หัวละ 3,000 บาทแรกกับไม่ถูกจับกุม
ด้านนางเล็กแม่ค้าขายข้าวราดแกงย่านมีนบุรีบอกว่า หลังสงกรานต์คงจะหยุดขายเพราะสู้กับต้นทุกวัตถุดิบไม่ไหว ขยับขึ้นทุกวัน ไปบวกราคาเพิ่มลูกค้าจะบ่นบางคนหายไปเลย ช่วงปีใหม่เป็นต้นมาวันที่จะมีกำไรเป็นกอบเป็นกำน้อยมาก วันไหนขายได้น้อยจะขายแบบขาดทุนเพราะเก็บไว้ไม่ได้ ถ้าเก็บไว้นำมาขายใหม่ลูกค้าประจำจะทราบทันทีแล้วเลิกซื้อไปเลย
ขณะที่มนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งบอกว่ารายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม้บริษัทจะปรับค่าแรงให้สูงขึ้น แต่สู้ค่าครองชีพไม่ไหว แต่ละเดือนต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟและค่าโทรศัพท์ แล้วจะเหลือเงินพอที่จะดำรงชีพได้แบบเดือนชนเดือน เน้นซื้อแกงถุงวันละ 1-2 ถุง กินได้ 3 วัน มีไข่เจียว ไข่ต้ม เป็นองค์ประกอบ
“ช่วงที่นายเศรษฐาเป็นนายกฯคิดว่าเศรษฐกิจจะดีมีรายได้เพิ่ม แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทุกอย่างเหมือนเดิม ครั้นน.ส.แพทองธารมา เริ่มหวังอีกเพราะคิดว่านายทักษิณ คงช่วยบริหารได้ แต่ยังเหมือนเดิม ไม่เห็นช่องทางว่ารัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้คนระดับกลางถึงรากหญ้าและมนุษย์เงินเดือนพอได้มีหวัง เงินหมื่นที่คุยว่าจะแจกพร้อมกัน สามารถให้แต่ละครอบครัวนำไปต่อยอดค้าขายหรือทำเกษตรได้ สุดท้ายออกมาแบบกะปริบกะปรอยเหมือนเยี่ยวไม่สะเด็ด”มนุษย์เงินเดือนระบุ
เสียงสะท้อนที่ยกเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนกว่า 50 ล้านคนที่กำลังประสบชะตากรรมทางเศรษฐกิจ ที่ดูเหมือนว่ารัฐบาลไม่ให้ความสำคัญมากพอ ที่จะเร่งแก้ปัญหาแบบระยะสั้น เพื่อดำรงชีพได้ก่อน และระยะยาวสามารถมีรายได้ต่อเนื่องมั่นคงแบบไม่ต้องรอเงินแจกจากรัฐบาล
จึงขอสื่อสารไปถึงรัฐบาลว่าเร่งแก้ปัญหาได้แล้ว ยิ่งรวดเร็วเหมือนดันโครงการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ บวกคาสิโน จะส่งผลดีต่อฐานรากของประเทศ แต่ถ้ายังปล่อยเลยตามเลยรอโครงการใหญ่บรรลุเป้าหมายก่อน เชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยจะยับเยินกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง เพราะครั้งนี้ฐานรากล้ม กลุ่มทุนผูกขาดจะพังครืนเช่นกัน !!!
