“
ปีก่อนๆช่วงแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บังคับการ(รองผบก.)-สารวัตร(สว.)จะวิ่งเต้นกันฝุ่นตลบทั้งสำนักปทุมวันและบ้านนักการเมือง หนายิ่งกว่าฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่คลุมประเทศไทยขณะนี้“

แต่ปีนี้ฝุ่นค่อยข้างจางๆเพราะมีกฎหมายตำรวจ 2565 และคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ(ก.พ.ค.ตร.)คอยควบคุมและจับจ้อง ทำให้นักวิ่งเต้นออกตัวแรงไม่ได้และผู้มีอำนาจในวงการต่างๆที่เคยขยับตัวแรงไม่กล้าขยับมากนัก
ขณะที่ผู้บัญชาการ(ผบช.)กฎหมายให้อำนาจเต็มในการพิจารณาแต่งตั้งอยู่ในภาวะที่ต้องระมัดระวังสูง รวมผู้บังคับการ(ผบก.)ที่มีอำนาจเสนอชื่อแต่งตั้งโยกย้ายขยับตัวลำบาก เพราะผบก.ส่วนใหญ่มีอายุราชการอีกหลายปีกว่าจะเกษียณอายุ ไม่ค่อยกล้าที่จะเอาอนาคตไปเสี่ยงกับการฝ่าฝืนกฎกติกา
ยิ่งเจอไม้เด็ดของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชรผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ประกาศก้องตั้งแต่ช่วงทำโผแต่งตั้งโยกย้ายนายพลเล็กแล้วว่า ถ้ารู้ข่าวว่า ผบช.หรือ ผบก.ไหน เปิดตลาดซื้อขายตำแหน่งจะจัดการทันทีด้วยการย้ายประจำ ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ถ้าพบความผิดหลักฐานชัดจะโดนทั้งวินัยและอาญา
จากปัจจัยดังกล่าวพอทำนายได้เลยว่าการแต่งตั้งโยกย้ายรอง ผบก.-สว.ที่แต่ละ บก.และ
บช.กำลังดำเนินการจัดทำบัญชีทั้งเรียงลำดับอาวุโส พิจารณาคุณสมบัติผู้ที่จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นหรือย้ายระนาบ คงมั่นใจได้ว่าไม่ต้องจ่ายเงินซื้อตำแหน่งมาเหมือนในอดีตที่สร้างความร่ำรวยให้กับอดีตบิ๊กตำรวจหลายนายและนักการเมืองซีกรัฐบาลที่นิยมชมชอบกินเลือดเนื้อคนสีเดียวกัน
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เคยบอกไว้ว่า”ตำรวจที่กินเลือดตำรวจ คิดว่าเป็นตำรวจที่มีพฤติกรรมที่เลวร้ายมากกว่าที่ไปทำความเสื่อมเสียต่อองค์กรเสียอีก ถือว่าแย่ที่สุดคิดว่าผู้บังคับบัญชาในอดีตพยายามแก้ไขอยู่แล้ว แต่ในยุคผมต้องไม่มีเลย”
ดังนั้นบรรดาตำรวจที่แคนดิเดตในตำแหน่งต่างๆ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ คุณสมบัติเข้าหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายและระเบียบการแต่งตั้งกำหนด คงวางใจได้ว่าโอกาสที่จะได้ขยับสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเป็นไปได้สูง
“ประดู่แดง”จึงคาดหมายว่าการแต่งตั้งระดับ รอง ผบก.-สว.คราวนี้ เด็กเส้น เด็กนาย หรือเด็กที่นายต้องการให้ได้ตำแหน่งในพื้นที่ทำเลทองคงขยับตัวกันลำบาก รวมถึงบรรดานายตำรวจที่ต้องการย้ายหนีงานสืบสวน สอบสวน หลังเหาะมาเสียบยอดยึดตำแหน่งปิดทางคนในหน่วยไม่ให้โตแล้ว จะขอย้ายกลับรังเก่า อาทิ สำนักงานตำรวจคนเข้าเมือง(สตม.) สอบสวนกลาง ตำรวจท่องเที่ยว หรือตำรวจไซเบอร์ คงจะกลับลำบากถ้าไม่จับมือคู่ย้าย
แต่อดห่วงไม่ได้ถึงฤทธิ์เดชของตำรวจประเภทนี้ เพราะส่วนใหญ่ล้วนมีปลอกคอใหญ่แทบทั้งสิ้น บางกลุ่มถึงขั้นจะเข้าหารือกรรมการกฤษฎีกา บางคนเป็นการส่วนตัวเพื่อขอคำชี้แนะหรือให้ช่วยหาช่องว่างกฎหมาย นำทางไปสู่ตำแหน่งที่ต้องการ หากเกิดขึ้นจริง ผบช.และ ผบก.ที่มีอำนาจเต็มในการแต่งตั้ง คงต้องตั้งหลักรับมือให้ดี รวมถึงคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)ไม่ควรจะตามใจหากนำเรื่องเข้าหารือเพื่อขออนุมัติเป็นกรณีพิเศษ
อีกประเด็นหนึ่งที่บรรดาตำรวจต่างหวาดหวั่นไม่น้อย นั่นคือจับคู่ย้ายข้ามกองบัญชาการหรือข้ามหน่วย ซึ่งเป็นนโยบายของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง สมัยนั่ง ผบ.ตร.คิดขึ้นมา เพื่อให้ตำรวจที่อยากกลับภูมิลำเนาย้ายกลับไปดูแลครอบครัวรวมถึงพ่อแม่ อาทิ ตำรวจภูธรภาค 4 ประจำอยู่โรงพักใน จ.อุดรธานี แต่ภูมิลำเนาอยู่ จ.สงขลา อยากย้ายกลับบ้าน บังเอิญว่าตำรวจมีภูมิลำเนาที่อุดรธานี แต่รับราชการอยู่ที่สงขลา อยากกลับภูมิลำเนา จะจับคู่ย้ายสลับกันได้ทันที สร้างความพึงพอใจให้กับตำรวจเกือบทุกระดับ
แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน อำนาจเปลี่ยนมือบวกกับข้อจำกัดของกฎหมายใหม่ โครงการจับคู่ย้ายถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจใช้เอื้อประโยชน์ให้กับตำรวจใกล้ชิดหรือตำรวจที่หาประโยชน์ให้ได้ เพราะการแต่งตั้งหลายครั้งที่ผ่านมามีข่าวสะพัดว่าคนที่จับคู่ย้ายกลับไม่ได้รับการสนองตอบ
ตำรวจที่เข้าโครงการจับคู่ย้ายนายหนึ่งเล่าว่า อยู่ในพื้นที่ บช.ภ.8 จ.ชุมพร จับคู่ย้ายกับตำรวจ บช.ภ.1 จ.อยุธยา ดำเนินตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้วนั่งนับวันเพื่อรอคำสั่งย้ายอย่างเป็นทางการ พอคำสั่งออกมาปรากฏว่าตั๋วถูกบิดกลับมีชื่อตำรวจจากภาค 8 ไปอยู่ภาค 1 อยุธยา แทนและตำรวจจากภาค 1 มารับตำแหน่งที่ภาค 8 ตามที่ต้องการ แต่ตนกลับอยู่ที่เดิม
“ลักษณะนี้ไม่ได้เกิดกับผมเพียงคนเดียว แต่เกิดขึ้นในหลาย บช.โดยเฉพาะบช.ที่สามารถหาผลประโยชน์ได้ง่าย อาทิ บช.ภ.1,2 และ 7 บช.ท่องเที่ยว บช.ไซเบอร์ บช.ก.และ สตม. เป็นต้น คนที่จับคู่ย้ายได้ย้ายออก แต่คนที่ย้ายมาแทนกลับเป็นคนที่ไม่ได้จับคู่ไว้ ตำรวจที่ไม่สมหวังเคยร้องเรียนแต่ไร้ผล”ตำรวจคนเดิมระบุ
ดังนั้นการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้นโยบายจับคู่ย้าย จะถูกจับตามองเป็นพิเศษเพราะจากนโยบายที่สร้างขวัญกำลังใจให้กับกำลังพล กลับถูกตำรวจที่จัดทำบัญชีนำไปใช้เป็นเครื่องมือช่วยเหลือพวกพ้อง บางบช.นำไปแสวงหาประโยชน์
ถ้านโยบายนี้ถูกจับตาเป็นพิเศษเชื่อว่าตำรวจที่จัดทำโผคงไม่กล้าขยับมาก บวกกับมีกฎหมายใหม่ควบคุม รวมถึง ก.พ.ค.ตร.คอยจับจ้อง บวกกับความตั้งใจของ ผบ.ตร.ที่ต้องการให้เกิดความเป็นธรรมไร้การเซ็งลี้เก้าอี้ เชื่อว่าการแต่งตั้งรอง ผบก.-สว.ที่จะประกาศอย่างเป็นทางการและมีผลวันที่ 3 มีนาคม คงสร้างความพึงพอใจให้กับตำรวจส่วนใหญ่แน่นอน !!!
