“ช่วงสัปดาห์นี้ มีสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือสถานการณ์ฝุ่นพิษ PM2.5 ที่พุ่งสูงเกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่ไม่สามารถหลอกสายตาและชมหายใจของใครทุกคนได้ เพราะมันคือระเบิดเวลาทที่กำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างรุนแรง ทั้งในระยะสั้นและสะสมไปสู่ความพังของร่างกายในระยะยาว บางคนแสบตา บางคนแสบคอ จมูก นำไปสู่โรคเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ ไปจนถึงความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอด ซึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว ที่เหมือนถูกฝุ่นนี้มาซ้ำเติมความเปราะบางในร่างกายเข้าไปอีก”

ที่ผ่านมาถ้าพูดอย่างแฟร์ ๆ จะว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลยคงไม่ใช่ ก็เห็นว่ามีความพยายามเทคแอ๊คชั่นนตามสเต๊ปประมาณหนึ่ง อาทิ มาตรการร้อน ๆ เช่นการให้ขึ้นรถเมล์ฟรี รถไฟฟ้าฟรี 7 วัน ตรวจจับควันดำ แต่สำหรับความรู้สึกของประชาชนเขากลับมองว่าปัญหานี้มันยาวนาน กินเวลามาพักใหญ่ ด้วยความไม่ต่อเนื่องในทางการเมืองก็ดี หรือที่ผ่านมาที่รัฐบาลทำอะไรไปแล้วบ้างและมองถึงระยะยาวได้หรือไม่ มันกลายเป็นสิ่งที่สะท้อนใจได้ว่าปล่อยประชาชนตามยถากรรมหรือพยายามอย่างสุดฝีมือแล้วหรือยัง เกิดคำถามที่ค้างคาใจ
นักการเมือง ฝ่ายค้าน หรือนักวิจารณ์ส่งเสียงดังๆถึงรัฐบาลกันอย่างเต็มที่ในหลายวันมาที่ผ่านมานี้ แต่ปรากฎว่าแทนที่เราจะได้รับรู้รับทราบว่ารัฐบาลทำอะไรไป กลับกลายเป็นภาพ สส.รัฐบาล ฝ่ายค้านกำลังตีกันและตีกินในทางการเมือง จนลืมความเจ็บไข้ได้ป่วยของประชาชนที่ฝุ่นกำลังกัดกินชีวิต สะสมและลดอายุขัยของเราทุกคนไปหมดแล้ว
ความน่ากลัวและกังวลใจของปัญหามลพิษในอากาศนี้ เป็นภัยสำคัญที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ โดยมีข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก WHO บอกว่าทุกปีมีผู้เสียชีวิตเพราะสูดอากาศพิษเกือบ 7 ล้านคน และ มีข้อมูลว่าอายุเฉลี่ยของคนแถบเอเชียใต้ที่เผชิญปัญหาค่าฝุ่นหนักสุด เฉลี่ยจะลดหายไป 5 ปี หมายความว่าคนจะตายเร็วขึ้นกว่าปกติ ซึ่งองค์การอนามัยโลกยืนยัน ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 มีอานุภาพร้ายแรงต่อสุขภาพของผู้คน
สำหรับค่ามาตรฐานฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ในบ้านเรา เพิ่งปรับค่าใหม่เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2566 กำหนดค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ที่ 37.5 ไมโครกรัม/ลบ.ม. จากเดิม 50 ไมโครกรัม/ลบ.ม. กระนั้นยังสูงกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดโดยองค์อนามัยโลกอยู่มาก
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าฝุ่นพีเอ็ม 2.5 มาจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า การก่อสร้าง และบ้านเรามีการเผาในภาคการเกษตรอย่างรุนแรง ดังนั้นการผลักดันนโยบายของรัฐเพื่อทำให้อากาศสะอาดเป็นประเด็นสำคัญอย่างมาก ถ้าจริงจัง วางแผนมานาน จับคนผิดคนฝืนดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด กวดขันทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญคือ “ความกล้า” ในการชนกับกลุ่มทุน ซึ่งเอาเข้าจริงเรื่องทางเกษตรกรรม มันไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนอย่างปฏิเสธไม่ได้
“วิธีที่จะทำให้อากาศสะอาดมีหลากหลาย เช่น ลดการใช้รถยนต์ เพิ่มบริการขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งพูดก็พูดเถิดขนส่งบ้านเราไม่ได้มีคุณภาพและไร้รอยต่อถึงพรรค์นั้น หรือ ใช้คาร์พูลร่วมรถคันเดียวกับเพื่อนบ้าน คนทำงานที่เดียวกันใกล้กัน ควบคุมการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในโรงงานอุตสาหกรรมสนับสนุนนโยบายใช้พลังงานหมุนเวียน พลังงานแสงอาทิตย์ ใดๆ มาตรการทั้งหมดนี้ต้อง “คิดทั้งระบบ” จะมาทำเพียงแค่มาตรการเดียวมิติเดียวไม่ได้“
หลายฝ่ายจึงยังคง เรียกร้อง ถามหาถึงอากาศสะอาดทุกวัน และต้องการให้ปัญหามลพิษในอากาศก็หมดไป โดยส่งเสียงดังๆ ถึงรัฐบาลให้ดำเนินมาตรการอย่างจริงจัง และเร่งด่วน!! โดยยกระดับการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้เป็น วาระแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบังคับใช้กฎหมายควบคุมมลพิษอย่างเข้มงวด ต้องเพิ่มการตรวจสอบและลงโทษอย่างจริงจังต่อแหล่งกำเนิดมลพิษในภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และภาคการขนส่ง ต้องบังคับใช้มาตรฐานเครื่องยนต์ที่ปล่อยมลพิษต่ำ พร้อมทั้งควบคุมคุณภาพเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ที่สำคัญเพื่อมิติด้านความยั่งยืน ต้อง สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด จัดสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน เร่งพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่สะดวก ปลอดภัย และครอบคลุมเพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ราคาเข้าถึงได้ เพราะวันนี้คนที่อยู่มีนบุรีจะนั่งรถไฟฟ้ามาใจกลางเมืองต้องเสียงค่ารถไฟฟ้าจริงๆ เป็น100!! ไปกลับ200++ ถ้าเป็นคนหาเช้ากินค่ำคือตายไปเลย
ไม่ต้องพูดถึงการใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้านหลายครัวเรือนจะกินยังไม่มีแล้วจะเอาที่ไหนไปซื้อเครื่องฟอกอากาศที่ราคาหลายพันทะลุหมื่น ทำให้คนจนที่เป็นผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคหัวใจ รอความตายอย่างช้า ๆ ในขณะที่กองเชียร์รัฐบาลเอาแต่ด่าคนเห็นต่าง ฝ่ายค้านก็อาจจะอยู่ในเกมวาทกรรม ทั้งหมดทั้งมวลนี้ อยากจะย้ำเตือนว่า หากรัฐบาลยังละเลยปัญหานี้ ผลกระทบจะไม่หยุดอยู่ที่สุขภาพประชาชน แต่จะลุกลามไปถึงระบบเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตโดยรวมของประเทศ เพราะนี่เกินกว่าวิกฤตแล้ว ถ้าไม่ทำให้ครบวงจรอย่างเร่งด่วนคือประชาชนต้อง “ตายก่อน” แบบไร้ทางเลือก
