“ขณะเขียนต้นฉบับตรงกับวันครูแห่งชาติ 16 มกราคม ที่เรียกกันติดปากว่าพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของชาติ โดยเปรียบเปรยว่าครูเสมือนเรือจ้างที่คอยรับส่งลูกศิษย์ทุกคนให้ถึงฝั่งฝัน”

ครูถือว่าเป็นอาชีพที่เสียสละอย่างสูงกระจายอยู่ทุกหย่อมหญ้าของประเทศไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีความเจริญหรือกันดารหรือเสี่ยงภัย แม้บางพื้นที่การใช้ชีวิตเสี่ยงภัยด้วยความเป็นครูที่ห่วงใยศิษย์มิย่อท้อแต่อย่างใด ที่สำคัญคนในชุมชนจะดูแลครูเป็นอย่างดีเพราะครูคือบุคคลที่ให้ความรู้คอยสั่งสอนลูกหลานของคนในชุมชนให้มีอนาคตที่ดี
แม้แต่ในพื้นที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้แทบจะไม่มีเหตุร้าย นอกจากเมื่อ 18 ปีที่ผ่านมาคนร้ายจับครูจูหลิง ปงกันมูล ชาวดอยหลวง เชียงราย เสียสละเดินทางไปครูผู้ช่วยที่โรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เป็นตัวประกันขังไว้ในอาคารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตวันที่ 8 มกราคม 2550 นับแต่นั้นมาไม่เคยปรากฏข่าวว่าครูถูกสังหารอีกเลย
กระทั่งวันที่ 14 มกราคม ก่อนถึงวันครูเพียง 2 วัน คนร้ายลอบวางระเบิดรถกระบะ ขณะวิ่งอยู่บนถนนเส้นศรีสาคร-จะแนะ บ้านไอร์กือเนาะ ต.ศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เป็นเหตุให้ พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ อายุ 56 ปี ครูใหญ่ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านตืองอช่างกลปทุมวันอนุสรณ์ 13 ต.ศรีบรรพต เสียชีวิตพร้อม ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ อายุ 35 ปี บุตรชายครูโรงเรียนเดียวกัน ขณะเดินทางไปซื้ออุปกรณ์สร้างคอกไก่ให้กับโรงเรียน
พ.ต.อ.ภัควัฒน์ วันสนุก ผกก.สภ.ศรีสาคร ระบุว่าเป็นฝีมือของกลุ่มคอมบี้ ดาฮงม๊ะห์ ปฏิบัติการในอ.จะแนะและศรีสาคร มีเป้าหมายมุ่งต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นหลัก
หากประเมินจากพฤติกรรมของโจรใต้กลุ่มนี้จะมุ่งสังหารเจ้าหน้าที่รัฐแบบไม่เลือกว่าเจ้าหน้าที่หน่วยไหนที่ทำประโยชน์ให้กับเด็ก ชาวบ้าน ที่อยู่ในชุมชนบ้าง การก่อเหตุสังหารครูตชด.ทั้งสองนายถือว่าเลวร้ายมาก เพราะถ้าย้อนดูถึงอุดมการณ์ของ พ.ต.ท.สุวิทย์จะพบถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะพัฒนาเยาวชนของชาติในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนโดยไม่แบ่งเชื้อชาติและศาสนา โดยทุ่มเทการทำงานในฐานะครูตชด.ในพื้นที่สีแดงที่ข้าราชการน้อยมากจะลงไปปฏิบัติหน้าที่
โดย พ.ต.ท.สุวิทย์ พัฒนาทั้งเด็กและผู้ปกครองไปพร้อมๆกันด้วยการดึงผู้ปกครองมาร่วมเรียนภาษาไทยกับเด็กๆในโรงเรียน สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับคนในชุมชน เข้าไปทำงานร่วมกับชาวบ้านแนะนำปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ ด้วยการนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปปรับใช้ รวมถึงเยี่ยมเยือนผู้สูงอายุที่ป่วยจะซื้อของไปฝากเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดี ซึ่ง พ.ต.ท.สุวิทย์ บอกว่าเกราะป้องกันตัวที่ดีที่สุดไม่ใช่อาวุธปืน แต่เป็นความรัก เมื่อไหร่ที่จุดนี้มาถึงความกลัวจะหายไป
ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.สุวิทย์ บอกถึงความมุ่งมั่นวา “ผมไม่เคยคิดย้ายหนี ถ้าเราหนีแล้วใครจะอยู่ แม้ชีวิตพวกเราจะเสี่ยง แต่เด็กๆและชาวบ้านในพื้นที่เขาก็เสี่ยงและลำบากกว่าเรา ที่สำคัญคืองานของพระองค์ท่านฯใครจะทำ ใครจะสานต่อ เราจะปล่อยให้เทียนดับไม่ได้ แม้แสงสว่างจะริบหรี่ยังดีกว่ามืดสนิท อย่างน้อยยังช่วยให้ไม่หลงทางไปไกลนัก”
ซึ่งการเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ครูตชด.ของครอบครัวช่วยเทวฤทธิ์ มิได้มีเพียงครูสุวิทย์ เพียงคนเดียว แต่ยังมีลูกชายอีก 2 คน ไปร่วมปฏิบัติหน้าที่ คือ ด.ต.ดัตช์ ลูกชายคนเล็ก โดยบอกว่า ตน พ่อ และพี่ชาย ทำงานอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่ 2 ปีที่แล้วตนย้ายออกมาก่อน พ่อเตรียมจะลาออกเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา แต่ด้วยความรักในอาชีพเลยไม่ได้ลาออก ครอบครัวพูดคุยกันตลอดว่าต้องเตรียมใจเพราะทำงานในพื้นที่เสี่ยง
ที่ยกประเด็นกรณีครูสุวิทย์ มานำเสนอนอกจากจะสดุดีคุณงานความดี การเสียสละของครูและลูกชายแล้ว ยังต้องการสะท้อนว่าการแก้ปัญหาไฟใต้ตลอดเวลา 20 ปี ด้วยงบประมาณนับแสนล้าน ของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพลเรือนหรือรัฐบาลเผด็จการทหาร ล้วนแต่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
ที่สำคัญไม่แน่ใจว่าบิ๊กรัฐบาลที่รับผิดชอบแก้ปัญหาไฟใต้และบิ๊กราชการ ทั้งแม่ทัพภาค 4 ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 และบิ๊กๆในศอ.บต. เคยได้รับรู้และรับทราบการปฏิบัติหน้าที่แบบเชิงรุกของครูสุวิทย์ บ้างหรือไม่ แต่”จอมารน้อย”ขอทำนายว่าไม่รู้หรือรู้แค่ผิวเผิน เพราะบิ๊กๆทั้งหลายที่ลงไปส่วนใหญ่มุ่งแต่แสวงประโยชน์มากกว่าที่จะแก้ปัญหาไฟใต้ และถ้ารู้รวมถึงอยากให้ไฟใต้มอดลง คงจะใช้แนวทางที่ครูสุวิทย์ ดำเนินการอยู่ต่อยอดไปทุกชุมชนแบบจริงจังและต่อเนื่องแล้ว
ที่สำคัญจากความมุ่งมั่นในการเสียสละของครูสุวิทย์ที่มีต่อนักเรียนและชาวบ้าน จนเป็นที่ประจักษ์การที่ถูกโจรใจสังหารโหดแบบนี้ บรรดานักสิทธิมนุษยชนไม่คิดว่าออกมาเคลื่อนไหวประณามพวกโจรใต้กลุ่มนี้บ้างหรือ เพราะเท่าที่ติดตามข่าวแทบจะไม่พบความเคลื่อนไหวเลย หรือเรื่องแบบนี้เคลื่อนไหวแล้วแสงไม่พุ่งเข้าหาเท่ากับประณามนายทักษิณ ชินวัตร พ่อนายกรัฐมนตรี ที่เปรียบเทียบเรื่องนางแบบผิวดำกับคนไทยที่สามารถไปเป็นนางแบบได้ดีกว่า
ดังนั้นถ้าบรรดานักสิทธิมนุษยชนมองเรื่องครูสุวิทย์แบบธุระไม่ใช่ ขอให้หยุดเคลื่อนไหวเรื่องต่างๆเถอะแล้วไปหาสากมาอมน่าจะดีกว่า เพราะจะทำให้คนในสังคมไม่ต้องคาดหวังมากนัก !!!
