จากภัยธรรมชาติถล่มภาคเหนือ อีสาน และภาคใต้ สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างทั้งพื้นที่เศรษฐกิจ พื้นที่การเกษตร และบ้านเรือนพังเสียหาย ประชาชนนับพันคนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว บวกกับภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง ชาวบ้านมีรายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำให้คาดการณ์ได้ว่าตั้งแต่ปลายปี 2567 ย่างเข้าสู่ปี 2568 ปัญหาอาชญากรรมน่าจะพุ่งสูงขึ้น
แม้แต่ห้วงเวลานี้อาชญากรรมประเภทลัก วิ่ง ชิง ปล้น ยังเกิดอย่างต่อเนื่องพร้อมๆกันหลายพื้นที่ ยังไม่นับรวมถึงอาชญากรรมอื่นๆ อาทิ แก๊งทวงหนี้ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์หรือการฉ้อโกงในรูปแบบต่างๆผุดให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
บทหนักจะตกที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ในฐานะแม่ทัพหลักที่ต้องนำทัพสีกากีรับมืออาชญากรรมทุกรูปแบบ เพื่อให้ประชาชนดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่รัฐบาลต้องจัดเครื่องมืออันสำคัญให้นั่นคือการมอบอำนาจเต็มเพื่อจัดทัพสีกากีไว้รับมือ
เพราะต่างทราบกันดีว่า หาก”ผบ.ตร.”ไม่มีอำนาจพอที่จะบริหารจัดการเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายตั้งแต่ระดับผู้บังคับการ(ผบก.-สารวัตร(สว.)ได้ ไม่สามารถที่จะสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามนโยบายที่วางไว้ได้เลย มีตัวอย่างให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมมาแล้วในยุคที่นายพลเด็กมีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายเหนือ ผบ.ตร.
ซึ่งคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) จะเป็นตัวช่วยอันสำคัญที่จะทำให้แนวทางนี้เกิดขึ้นได้ เพราะนับแต่การแต่งตั้ง รอง ผบ.ตร.-ผู้บัญชาการ(ผบช.) ที่ยึดกฎกติกาอย่างเคร่งครัด ล้วนเกิดจากการเคลื่อนไหวของ ก.ตร.เป็นสำคัญ
หากนายกรัฐมนตรีปล่อยอำนาจแบบเต็มๆให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ จัดทัพจริง จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สำนักปทุมวันที่ฝ่ายการเมืองยอมปล่อยมือ จะเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย เพราะสามารถจัดคนให้ถูกกับงานได้
แต่การจัดทัพสีกากีครั้งนี้จะแตกต่างจากครั้งที่ผ่านมาเพราะถูกกฎหมายและกฎการแต่งตั้งโยกย้ายบังคับให้ลากยาว การแต่งตั้งให้ครบทุกตำแหน่งจะเสร็จสิ้นเดือนมีนาคม 2568 ส่งผลให้แต่ละตำแหน่งมีเวลาปฏิบัติหน้าที่เพียงไม่กี่เดือนจะเข้าสู่ฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายอีก
เพื่ออุดช่องว่างไม่ให้เกิดความเสียหายในการปฏิบัติหน้าที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ควรจะยึดแนวทางแต่งตั้งโยกย้ายแบบขยับขึ้นในหน่วยที่สังกัด อาทิ รอง ผบก.ภ.จว.คุณสมบัติครบและถูกแต่งตั้งให้รักษาการฯ ควรที่จะแต่งตั้งให้เป็น ผบก.หรือ รองผู้กำกับการ(ผกก.)นั่งรักษาการหัวหน้าโรงพัก มีคุณสมบัติครบ ควรแต่งตั้งให้เป็น ผกก.หัวหน้าโรงพัก หรือสารวัตร(สว.) มีคำสั่งให้รักษาการ รองผกก.ถ้ามีคุณสมบัติครบ แต่งตั้งให้เป็นรอง ผกก. หรือ รอง สว. รักษาการ สว.มีคุณสมบัติครบให้แต่งตั้งเป็น สว.
แนวทางนี้เหมาะสมกับการแต่งตั้งตำรวจที่คุมพื้นที่ไม่ว่าจะเป็น ผบก.ภ.จว. ผบก.น.1-9 ผบก.สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) ผบก.สังกัดตำรวจไซเบอร์ หรือ ผกก.หัวหน้าโรงพักทั้งภูธรและนครบาล ผกก.บช.ก.และใผกก.ไซเบอร์ รวมถึงระดับ รอง ผกก.และ สว.
เพราะจากที่ประเมินไว้ว่าแนวโน้มอาชญากรรมจะพุ่งสูงขึ้นบวกกับระยะเวลาที่กระชั้น เพราะถูกกำหนดด้วยกฎหมาย หากแต่งตั้งโยกย้ายจากหน่วยอื่นมานั่ง ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ข้อมูลต่างๆในพื้นที่ เรียนรู้อุปนิสัยการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชา เรียนรู้พฤติกรรมของผู้บังคับบัญชา และเรียนรู้วัฒนธรรมและพฤติกรรมของชาวบ้านในพื้นที่ กว่าจะลงมือปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายได้ต้องกินเวลาอย่างน้อย 1-2 เดือน
แต่ถ้าพิจารณาแต่งตั้งจากตำรวจภายในหน่วยที่มีคุณสมบัติครบ พฤติกรรมดี จะช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่เกิดขึ้นได้ฉับไว เพราะไม่ต้องไปตั้งหลักศึกษางานกันใหม่ แถมจะช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้กับตำรวจที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ได้มีความก้าวหน้าอีกต่างหาก และกฎหมายได้กำหนดไว้ด้วยว่าการพิจารณาแต่งตั้งให้แต่ละหน่วยร่วมประชุมเพื่อพิจารณาคุณสมบัติผู้ที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งโยกย้ายอยู่แล้ว
รวมถึงจะช่วยขจัดปัญหาการวิ่งเต้นของสีกากีบางคนบางกลุ่มที่ต้องการจะได้ตำแหน่งพื้นที่ทำเลทองเพื่อแสวงประโยชน์ รวมถึงสะกัดตั๋วฝากทั้งจากนักการเมืองและผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆได้อีกด้วย
ดังนั้นถ้า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร พ่อนายกรัฐมนตรี ที่ถูกมองว่าเป็นผู้จัดการรัฐบาลแบบตัวจริงเสียงจริง ยอมปล่อยมือให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ จัดทัพสีกากีโดยยึดแนวทางให้ตำรวจที่คุณสมบัติครบเติบโตในหน่วยงาน เชื่อว่าผลดีจะตกกับประชาชนที่ได้คนรู้งาน รู้ปัญหา มาบริการ ทำงานได้ทันทีหลังแต่งตั้งเสร็จ เพราะอาชญากรไม่เคยรอเวลาที่จะก่ออาชญากรรม
แนวทางที่นำเสนอ”ประดู่แดง”มิได้คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นจริงเพราะผู้มีอำนาจมักจะหวงอำนาจเสมอและไม่เคยเกิดขึ้นในแวดวงสีกากีเลย เพียงแต่น่าจะเป็นเลือกหนึ่งในจังหวะที่การแต่งตั้งถูกกำหนดด้วยระยะเวลา แต่งตั้งเสร็จตำรวจได้ทำงานทันที และอีกไม่กี่เดือนจะถึงฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายใหม่แล้ว !!!