เป็นผู้นำเประเทศ ต้องคิดดีๆ ก่อนพูด และหัดพูดให้ไกลกว่าครอบครัว

1683

น้ำท่วมหนักในพื้นที่ภาคใต้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานาน การรับมือและแก้ปัญหาโดยรัฐบาลจึงถูกตั้งคำถามอย่างหนักหน่วง แต่ที่เรียกว่ากลบทุกการตอบถึงความช่วยเหลือที่รัฐบาลสั่งการไปแล้วคือคำตอบที่ท่านนายกฯหญิงคนที่สองของประเทศตอบนักข่าวว่ามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การแก้ปัญหาว่าละเลยหรือล่าช้าในการแก้ปัญหาปัญหาน้ำท่วมภาคใต้

ซึ่ง น.ส.แพทอง​ธาร​ ชิน​วัตร​ นายก​รัฐมนตรี​ ให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งแต่เกิดเหตุมีรองนายกฯและรัฐมนตรีลงพื้นที่ไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนมาตรการช่วยเหลือต่างๆได้มีการพูดคุยกับทางธนาคารซึ่งจะมีการปรับเหตุการณ์ช่วยเหลือในพื้นที่น้ำท่วมภาคเหนือไปใช้ภาคใต้ด้วย ขณะที่อุปกรณ์เครื่องมือช่วยเหลือต่าง ๆ รวมถึงอุปกรณ์ของกระทรวงกลาโหมก็นำไปช่วยในพื้นที่ภาคใต้

เมื่อถูกถามว่าจะชี้แจงอย่างไรเพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้ละเลยคนในพื้นที่ภาคใต้หลังมีกระแสดราม่า น.ส.แพทองธาร ถึงกับร้องโอ้ว และเปลี่ยนสีหน้า ก่อนจะกล่าวว่า

“ถ้าพูดถึงคำว่าละเลยตนเองมีสามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้หรือไม่รักคนใต้ จะแต่งงานกับคนใต้ไม่ได้ คือไม่ใช่ วันที่เกิดน้ำท่วม ทั้งรองนายก และรัฐมนตรี ลงพื้นที่ ไปประสานงาน และแจกจ่ายงานทั้งหมดทันที ตั้งแต่กลางคืน เราทำทุกอย่าง “

จากคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวแทนที่คนจะจดจำว่านายกฯสั่งการไปแล้ว กลับไปโฟกัสว่าสามีเป็นคนใต้ เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องรู้หรือไม่ แม้ว่าจะเจตนาจะไม่ได้ขนาดนั้น แต่สารและข้อความที่เหลือไม่มีใครสนใจแล้ว แทนที่ผู้นำประเทศจะคิดก่อนพูดให้ดี ๆ เพื่อสมกับความเป็นผู้นำ แต่หลายต่อหลายครั้งการแสดงออกและการกระทำ จะถูกตั้งคำถามเสมอถึงวุฒิภาวะ ความพร้อม ความรู้ความสามารถในการบริหาร ซึ่งเอาเข้าจริงทั้งหมดมันสูญสิ้นศรัทธาตั้งแต่เกิดปรากฎการณ์คำว่าดีลลับ พ่อกลับบ้าน และแทนที่จะพิสูจน์ด้วยความสามารถในการเป็นผู้นำที่กล้าคิดกล้าตัดสินใจ กลายเป็นว่าแต่ละสิ่งที่สะท้อนออกมา ล้วนบ่งชี้ว่า เวลานี้ผู้นำลักษณะนี้เหมาะสมแล้วหรือไม่?

ย้อนไปยุค พล.อ.ประยุทธ์ การตอบคำถามและการระเบิดอารมณ์และกิริยาที่ฉุนเฉียว พูดเยอะ พูดไปเรื่อยก็หนักในลักษณะหนึ่ง ถึงคราวนายกฯปัจจุบันแม้จะไม่ดุดัน แต่ความสามารถควา มเข้าใจในระบบราชการ วุฒิภาวะในการตอบคำถามล้วนสะท้อนว่าเป็นปัญหา และเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าที่นี่ไม่ใช่สนามฝึกงานของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ซึ่งประชาชนกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก

การตอบเรื่องสามีเป็นคนใต้ ทำให้ตัวนายกเองถูกลดทอนคุณค่าในตัวเองและถูกบูลลี่ต่างๆนานา แถมถูกล้อว่าถ้าปัญหาเกิดในภาคอื่นล่ะ?จะตอบว่าอะไร  หวังว่าบทเรียนนี้จะใหญ่หลวงพอสำหรับการคิดก่อนพูดในฐานะผู้นำประเทศ ว่าต้องหัดคิดอะไรให้ไกลว่าเรื่องในครอบครัว เพราะไม่เช่นนั้นปัญหาก็จะเกิดแบบนี้วนไป เพราะไม่ว่าจะมองทางไหนเดี่ยวมีเรื่องที่พ่อบ้าง ดราม่าถึง ลูกบ้าง สามีบ้าง คุณอาบ้าง และใครก็ตามที่เป็นจักรวาลครอบครัวอดีตนายกฯทักษิณ ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมส่งผลไปถึงคนที่เป็นนอมินีในฐานะผู้นำทั้งสิ้น

แล้วที่คนเขาถามถึงการละเลยปัญหาภาคใต้เป็นเพราะสิ่งที่บิดาเคยให้สัมภาษณ์และขึ้นเวทีปราศรัยว่าจะสนใจคนที่เลือกเขาก่อน (อีสาน-เหนือ) อดีตนายกฯเคยพูดไว้จริงๆว่าจะให้ความสำคัญกับสองภาคนี้ที่เป็นฐานที่มั่นพรรคไทยรักไทย ไม่น่าเชื่อว่า20ปีผ่านไปสิ่งเหล่านี้จะกลายมาเป็นตราบาปหลอกหลอนถึงรุ่นลูก

แช้วถ้าเราอ่านคำให้สัมภาษณ์ดี ๆต่อให้ไม่มีเรื่องสามี แต่พิจารณาดูประโยคเหล่านี้ว่ามีอะไรที่ไม่จำเป็นต้องพูดหรือไม่

“แพลนวันนี้(งาน ครม.ที่ภาคเหนือ)เราแพลนไว้เป็นเดือน จะฟื้นฟูภาคเหนือทั้งเชียงใหม่ และเชียงราย ว่าพร้อมแล้วสำหรับการท่องเที่ยว นี่คือแพลนทั้งหมด เพื่อให้เห็นว่าเที่ยวเชียงใหม่แล้วสามารถมาต่อที่เชียงรายได้ เพราะฉะนั้นจำเป็นที่จะต้องมาเหมือนกัน ซึ่งเรามีทั้ง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี หลายคน เราส่งไปช่วยทั้งหมดไม่ได้แปลว่าไม่ไปจังหวัดนี้ คนนี้ แปลว่าไม่สนใจมองแบบนี้ไม่ได้เลย แต่ละคนมีหน้าที่ที่รับผิดชอบมากมาย ต้องแบ่งงานกันทำ ไม่ใช่ว่าเกิดเหตุทั้งประเทศแล้วตนเองต้องลงไปครบทุกที่ ต้องไปทั้งหมดทุกโอกาสมันก็จะยาก แต่เราไม่ได้ละเลย ทันทีที่เกิดเรื่องเราส่งคนไป ต้องมีหน่วยงานที่รับผิดชอบ ต้องมีเครื่องมือ ซึ่งในส่วนของภาคใต้ต้องบอกว่ารัฐบาลขยับได้เร็ว และช่วยเหลือได้เร็วมาก ขอให้เปิดใจในเรื่องนี้ เราเป็นคนเหนือแต่งงานกับคนใต้ และคนที่ทำงานด้วยหลายคนก็เป็นคนใต้ มันไม่ใช่เลยที่ต้องมีดราม่า และไม่จำเป็นเลย ไม่ว่าจะเป็นภาคไหนก็เป็นคนไทยเหมือนกัน วันนี้บอกแล้วว่าวันนี้จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทั้งประเทศ ต้องรักษาคำสัญญานั้น“

สังเกตได้ว่าถ้านายกฯพูดถึงแต่การสั่งงาน สั้นๆได้เลย แต่ยังวนกลับมาเรื่องการแต่งงานกับคนใต้ไปอีก แปลว่าต้องมีความมั่นใจมากในการย้ำคิดย้ำทำเรื่องนี้ แทนที่จะย้ำนโยบาย พูดอย่างไม่อคติ ตัดคำว่าเป็นคนชินวัตรออกไป อย่างไรคนเป็นถึงนายกฯต้องมีวุฒิภาวะไกลกว่านี้ แยกเรื่องส่วนตัวที่มีออกจากประเทศชาติ เพราะโลกใบนี้ไม่ได้มีไว้หมุนแค่รอบครอบครัวพวกคุณ ยังมีครอบครัวของ67ล้านชีวิตเขาจับตาและรอความช่วยเหลือผ่านการตัดสินใจที่เต็มไปด้วยวิสัยทัศน์และความหวัง !!