แม้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร นั่งกุมบังเหียนสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ถึงสองเดือน พอที่จะทำให้ประชาชนได้เห็นเค้าลางว่าองค์กรตำรวจกำลังกลับมาเป็นที่พึ่งพาได้อีกครั้ง
เพราะคดีใหญ่ๆไม่ว่าจะเป็นคดีดิไอคอน ใช้เวลาไม่ถึงเดือนจับกุมผู้กระทำผิดได้ก่อนส่งต่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ คดีทนายษิธากับพวกฉ้อโกง คดีหมอบุญฉ้อโกงเกือบหมื่นล้านรุดหน้าอย่างรวดเร็ว รวมถึงคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การปราบปรามยาเสพติด และอาชญากรรมอื่นๆมีผลจับกุมอย่างน่าพอใจ
ขณะที่ตำรวจเองต่างตั้งความหวังไว้ไม่น้อย เมื่อเห็นการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.)-ผู้บัญชาการ(ผบช.)ที่ทั้งนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)และ ผบ.ตร.ยึดกฎกติกาอย่างเหนียวแน่น ทำให้เชื่อว่าการแต่งตั้งระดับรองผบช..-สารวัตร(สว.)คงไปในทิศทางเดียวกัน
ทั้งสองความหวังทำให้องค์กรตำรวจมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น หลังถูกรัฐบาลเผด็จทหารฉุดให้จมปรักมาเกือบ10 ปี ผบ.ตร.บางคนเป็นได้แค่เจว็ดปล่อยให้นายพลเด็กครอบงำและบงการอย่างไร้ศักดิ์ศรี
แต่ในจังหวะก้าวที่ทำให้เริ่มเห็นแสงสว่างกลับมีข่าวฉาวที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเกี่ยวข้องกับเบ้าหลอมในการให้ความรู้ ปลูกฝังแนวคิด ค่านิยมให้กับนักเรียนนายร้อยตำรวจ(นรต.)ที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรตำรวจ ให้เป็นที่ศรัทธาของประชาชนนั่นคือเหตุการณ์ที่ น.ส.ธณัฏฐา หรือเจ้หนิงอาจารย์พิเศษโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ภรรยาพ.ต.อ.ภีมพจน์ น้อมชอบพิทักษ์ อาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ แจ้งความจับนางศิรินัดดา หักพาล ภรรยา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ฐานลักทรัพย์และชู้สาว ต่อมาถูกนางศิรินัดดา แจ้งความกลับข้อหาร่วมกันแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน จนถูกศาลออกหมายจับผลทั้งสองคดีจะลงเอยแบบไหนไม่ขอคาดเดา
แต่ประเด็นที่น่าสนใจระหว่างที่น.ส.ธณัฏฐา แจ้งความข้อหาลักทรัพย์แล้วเดินสายออกสื่อ จนกระทั่งมีการสาวประวัติถึงเข้าเป็นอาจารย์พิเศษโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ว่าเข้าไปเป็นอาจารย์ได้อย่างไร ทั้งที่ประวัติการศึกษาค่อนข้างคลุมเครือ จนผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จ ผลปรากฏว่าน.ส.ธณัฏฐา มีคุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ที่โรงเรียนนายตำรวจกำหนด สั่งให้ถอดถอนจากการเป็นอาจารย์พิเศษทุกรายวิชา ผลสอบยังพบว่าเจ้าหน้าที่รับผิดชอบจัดทำคำสั่งอาจารย์พิเศษดำเนินการโดยพลการด้วยการพิ่มรายชื่อน.ส.ธณัฏฐา เข้าไป ทางโรงเรียนนายร้อยตำรวจสั่งสอบข้อเท็จจริงเพื่อเอาผิดกับผู้ทำคำสั่งโยพลการด้วย
รวมถึงเหตุการณ์ที่อาจารย์ชายกับเพื่อนนรต.รุ่น 66 ลวง นรต.ที่เข้าเวรยามไปลวนลามทางเพศ เหตุเกิดช่วงค่ำวันที่ 16 พฤศจิกายนต่อเนื่องวันที่ 17 พฤศจิกายน โดย นรต.ที่เข้าเวร ถูกอาจารย์และรุ่นพี่นัดไปพบพร้อมให้ดื่มสุราแล้วสั่งให้ นรต.ช่วยตัวเองเพื่อสำเร็จความใคร่และบุคคลทั้งสองเข้ามาช่วยแต่ไม่สำเร็จ ทางผู้ปกครองกังวลว่าลูกหลานจะถูกล่วงละเมิดทางเพศ จึงร้องเรียนไปยัง ผบ.ตร.ให้ตรวจสอบและร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ข่าวแห่งหนึ่งด้วย
จากรายงานข่าวแจ้งว่า เหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นหลายครั้งแล้วแต่ นรต.ไม่กล้าร้องเรียนเพราะกลังถูกทำโทษ รวมถึงอาจารย์และรุ่นพี่ที่เกี่ยวข้องสั่งกำชับให้ปิดข่าว
ทาง พล.ต.ต.ศักดิ์ระพี เพรียวพานิช รอง ผบช.รร.นรต.สั่งสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว และถ้านักเรียนที่ตกเป็นเหยื่อยอมความ จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและต้องงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือถอดถอนการเป็นอาจารย์
“สังคมสมัยนี้สังคมเปิดกว้างและ LGBTQ เป็นที่ยอมรับในสังคม แต่การกระทำที่เปิดเผยมาเกินไปโดยเฉพาะในรั้วโรงเรียนสถาบันหลักของต้นแบบของตำรวจเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้”พล.ต.ต.ศักดิ์ระพีระบุ
ซึ่งสองเหตุการณ์สะท้อนให้เห็นว่าการบริหารภายในโรงเรียนนายร้อยตำรวจมีปัญหาที่ส่งผลทั้งสภาพจิตใจและคุณภาพทางการศึกษาของนักเรียนนายร้อยเกือบทุกคน โดยสภาพทางจิตใจหากอาจารย์และรุ่นพี่มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ ด้วยการบังคับจิตใจ จะส่งผลโดยตรงต่อนักเรียนตกเป็นเหยื่อ ต้องตกอยู่ในสภาพเก็บกด ไม่กล้าจะร้องเรียน พอเวลาทอดยาวออกไปจะเกิดภาวะทางจิต หรือเกิดอาการซึมเศร้า เมื่อจบออกไปปฏิบัติหน้าที่ผลเสียจะตกแก่ประชาชนและองค์กรตำรวจ
ในเชิงวิชาการเมื่ออาจารย์พิเศษที่จ้างเข้ามาวุฒิการศึกษาคลุมเครือ จะนำไปสู่ความไม่รู้จริงทางวิชาการ ชักนำให้ศิษย์เดินเข้ารกเข้าพง เกิดความอ่อนด้อยในวิชานั้นๆได้ เมื่อออกสู่สังคมจะถูกด้อยค่าว่าจบจากโรงเรียนนายตำรวจมีความรู้แค่นี้หรือ ทั้งที่นักเรียนนายตำรวจส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในระดับท็อบเท็นของโรงเรียนเตรียมทหารมาแทบทั้งสิ้น
ดังนั้นเพื่อไม่ให้โรงเรียนนายร้อยตำรวจเป็นสถาบันหลักต้นแบบของตำรวจ ถูกด้อยค่าทั้งเชิงวิชาการและคุณภาพชีวิต พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษด้วยการจัดการแก้ปัญหาต่างๆที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพทางการด้านศึกษาและสภาพจิตใจของนักเรียน รวมถึงปฏิรูปหลักสูตรให้ทันสมัยทันสถานการณ์ควบคู่ไปด้วย
ประการสำคัญทั้งสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากจะตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและลงโทษผู้เกี่ยวข้องแล้ว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ควรนำ“คำสั่งที่ 1212/2537 ”มาบังคับใช้ด้วย เพื่อกำราบผู้บังคับบัญชาการที่เกี่ยวข้อง ถ้าทำได้จริงเชื่อว่าเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอนและจะส่งผลให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยอื่นๆหันมาสนใจความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชาไปโดยปริยายด้วย !!!