”กินส่วย-อมเบี้ยเลี้ยงลูกน้อง บทเรียนสอนใจที่ “สีกากีพึงระวัง”แม้เกษียณยังเจอวิบากกรรม

433



     ห้วงเวลานี้แม้จะมีมหากาพย์ข่าวดิไอคอนกลบข่าวฉาวเกือบทุกวงการ แต่แวดวงสีกากียังเกิดข่าวฉาวให้สื่อนำเสนออย่างต่อเนื่องล่าสุด  10 ตำรวจ ยศ พ.ต.ท.ยัน จ.ส.ต.และ พลเรือนอีก 2 คนร่วมกันรีดไถนักธุรกิจชาวจีนมูลค่า 300 ล้านบาท ตำรวจที่ถูกกล่าวหามีทั้งสังกัดตำรวจไซเบอร์และอดีตตำรวจไซเบอร์แทบทั้งสิ้น


         ผลการสอบสวนจะลงเอยแบบไหน ต้องตามลุ้นกัน ในจังหวะที่ตำรวจ 10 นายถูกจับกุมดำเนินคดี ในกลุ่มตำรวจรวมถึงสื่อโซเชียลได้แชร์เอกสารข่าวของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ภาค 9 มีมติชี้มูลความผิดตำรวจ 2 คดี

     “ประดู่แดง”อ่านรายละเอียดแล้วคงบอกได้แต่เพียงว่าตำรวจที่กินส่วยกับตำรวจที่อมเบี้ยเลี้ยงลูกน้อง กำลังเผชิญกับวิบากกรรมที่จะต้องสู้คดีแบบเกษียณอายุแล้วยังต้องขึ้นศาลแก้ต่างและสรุปสุดท้ายอาจจะเดินคอตกเข้าคุก


      จะข้อนำเสนอรายละเอียดแบบคร่าวๆไม่ระบุชื่อแต่จะระบุตำแหน่ง คดีแรกอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด(ผบก.ภ.จว.)พัทลุงถูก ป.ป.ช.กล่าวว่าฐานทุจริตต่อหน้าที่ สืบเนื่องจากคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 2562 รถกระบะบรรทุกบุหรี่และสุราหนีภาษี เกิดอุบัติเหตุตกร่อง ถนนเพชรเกษม ต.ท่าแค่ อ.เมือง พัทลุง หลังเกิดเหตุผบก.ภ.จว.พัทลุง ขณะนั้นสั่งการไม่ให้ตรวจสอบรถคันเกิดเหตุและห้ามแตะต้องยุ่งเกี่ยวกับของที่บรรทุกมากับรถ แต่กลับสั่งให้นำรถคันเกิดเหตุไปจอดหน้าบ้านพักผบก.ฯ

  ต่อมาคืนวันที่ 10 พฤศจิกายน 2562 ได้นำรถคันเกิดเหตุไปไว้ที่อู่แห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดย ผบก.ภ.จว.พัทลุงไม่ได้ทำการตรวจสอบหรือสั่งการให้ผู้ใดหรือหน่วยงานใด ตรวจสอบรถคันเกิดเหตุและสิ่งของที่บรรทุกมาว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่ ทั้งที่ปิดแผ่นป้ายทะเบียนหมายเลขไม่ตรงกับป้ายวงกลมหน้ากระจก และสิ่งของที่บรรทุกมาห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกสีดำ และลังสีน้ำตาลวางอยู่เต็มรถ มีลักษณะต้องสงสัย มีพิรุธว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายผู้ถูกกล่าวหาเห็นตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุแล้ว ดังนั้นการไม่ตรวจสอบปล่อยให้รถคันเกิดเหตุพร้อมสิ่งของที่บรรทุกมาซึ่งเป็นของกลางออกไปจากจุดจอดเก็บ เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

     เอกสาร ป.ป.ช.ระบุอีกว่า คณะกรรมการป.ป.ช.ได้พิจารณารายงานสำนวนการไต่สวนแล้วมีมติว่าผู้ถูกกล่าวมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 158 และมาตรา 200 ส่งเรื่องอัยการสูงสุด ดำเนินคดีอาญาและส่งเรื่องให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พิจารณาโทษทางวินัยแล้ว

    คดีที่ 2 กล่าวหาอดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร(ผกก.สภ.)ป่าพะยอม จ.พัทลุง สมัยเป็นผกก.สภ.ป่าพะยอม ฐานทุจริตเงินเบี้ยเลี้ยงตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ช่วงสถานการณ์โค-วิด 19 ปี 2563  เอกสาร ป.ป.ช.ระบุพฤติการณ์ว่าปีงบประมาณ 2563 บก.ภ.จว.พัทลุง จัดงบประมาณสำหรับตำรวจปฏิบัติหน้าที่ช่วงสถานการณ์โค-วิด 19 ให้แก่ สภ.ป่าพะยอม ในการไต่สวนพบว่า ผกก.ฯสั่งการให้นำเบี้ยเลี้ยงบริหารจัดการใหม่ ส่งผลให้ตำรวจบางส่วนไม่ได้เบี้ยเลี้ยงในการปฏิบัติหน้าที่เต็มจำนวน โดยผกก.ฯอ้างว่าเงินส่วนต่างจะนำไปสร้างศาลาอนุสรณ์ที่ สภ.ป่าพะยอมและนำเงินที่เหลือ(เงินทอน)ส่งให้แก่นายจำนวน 2 แสนบาท โดยตำรวจไม่ยินยอมทั้งหมด ทำให้ตำรวจส่วนหนึ่งไม่พอใจเนื่องจากได้เงินน้อยกว่าสิทธิที่จะได้รับ

   เอกสาร ป.ป.ช.ระบุอีกว่า คณะกรรมการป.ป.ช.พิจารณาแล้วมีมติเอกฉันท์ว่า ผู้ถูกกล่าวหามีความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 149 151 และมาตรา 157 และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์มิควรได้ รวมทั้งกระทำตามมาตรา 78 อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ตำรวจ พ.ศ.2547 มาตรา 79(1)(5)และ(6) ได้ส่งรายงานสำนวนการไต่สวนให้อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาล และส่งให้ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อดำเนินการทางวินัย เรียบร้อยแล้ว

    หากนำทั้งสองคดีมาเปรียบเทียบเวลาแล้วพบว่าจะเกิดในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน คดีที่ 2 ถ้ามีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยขึ้นแล้ว ผู้มีอำนาจในการตั้งควรกำชับให้คณะกรรมการสอบสวนฯพุ่งประเด็นนำเงินทอนส่งนาย ด้วยน่าจะดีเพื่อจะได้เอาผิดนายคนรับเงินทอน แต่คงลำบาก

   ซึ่งเอกสารป.ป.ช.ฉบับนี้กลุ่มตำรวจในพื้นที่ภูธรภาค 9 แชร์ในสื่อโซเซียล เกือบทุกแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะกลุ่มไลน์แชร์กันทุกกลุ่มพร้อมตั้งคำถามไปถึง ผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ว่าได้ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว เพราะตำรวจในพื้นที่แทบจะไม่ทราบความเคลื่อนไหวเลย

     ที่”ประดู่แดง”ยกมานำเสนอไม่ได้มุ่งหวังจะดิสเครดิตใคร แต่ต้องการสื่อว่าตำรวจรับส่วยจากแก๊งผิดกฎหมาย อมเบี้ยเลี้ยงลูกน้อง หรือทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง นั้น ล้วนแต่ต้องเจอกับวิบากกรรมทั้งสิ้น ไม่ว่ายศใหญ่แค่ไหน มีตัวอย่างในปัจจับันให้เห็นชัดเจนว่ายศ พล.ต.อ.ยังต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเพื่อสู้คดีที่เกิดจากพฤติกรรมฉ้อฉลแทบทั้งสิ้น จึงได้แต่หวังว่าตำรวจทั้งหลายคงไม่เดินซ้ำรอย เพราะยุคนี้กรรมติดจรวดมีอนุภาพทำลายล้างรุนแรงจริงๆ !!!