นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ประธานมูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค กล่าวถึงการสลายชุมนุมเสื้อแดงปี 2553 โดยระบุว่า “#ไม่พูดมากเจ็บคอ #คำพิพากษาศาลฏีกา อีกฉบับหนึ่งที่มีข้อมูลการไต่สวนมูลฟ้องรายละเอียดการชุมนุมมีติดอาวุธมีคนถือครองอาวุธปืนแฝงอยู่ในกลุ่มประชาชนโดยรู้ตัว (ลักษณะเดียวกันกับเจ้าหน้าที่) ของกลุ่มชายชุดดำ(แดง) และต่อมาอีกหลายปีก็ถูกจับได้ส่วนปืนและกระสุนไม่ได้เอามาคืน
สรุปอีกที #แชร์ต่อไม่รอแล้วนะ
คำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ข้อมูลไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาที่อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับอดีตรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ พร้อมคณะพนักงานสอบสวนDSI คือพันตำรวจโทวรรณพงษ์คชรักษ์ ,พันตำรวจตรียุทธนา แพรดำ,ร้อยตำรวจเอกปิยะ รักสกุล โดยคำพิพากษาลงมาเมื่อ 20 มีนาคม 2560 เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันประกอบได้ว่าทหารไม่ได้ยิงประชาชนแต่ทหารและประชาชนถูกกระทำจนตาย เนื่องจากกลุ่มชายจำนวนหนึ่งในชุดดำแฝงอยู่กับประชาชนชุดแดงเมื่อปี 2553 ตั้งแต่เหตุการณ์สี่แยกคอกวัวจนถึงเหตุการณ์วัดปทุมวนารามล้วนมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลผู้ใช้อาวุธในการชุมนุมที่คนเรียกกันว่า “ชายชุดดำ”
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วตามทางไต่สวนข้อเท็จจริงได้ความว่านปช. หรือกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร และพรรคพลังประชาชนที่บริเวณรัฐสภาเพื่อต่อต้านนายอภิสิทธิ์ไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อมานปช. บางส่วนได้เคลื่อนขบวนไปตามพื้นที่ในกรุงเทพปิดล้อมอาคารสถานที่ราชการปิดเส้นทางการจราจรบางแห่งนำเลือดไปทีที่ทำเนียบรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์หลังจากนั้นมีเหตุการณ์คนร้ายยิงจรวดอาร์พีจีและปาระเบิดใส่สถานที่ราชการหลายแห่ง
จากนั้นต้นเดือนเมษายน 2553 กลุ่มนปช. เริ่มขยายพื้นที่การชุมนุมเคลื่อนขบวนไปตั้งบริเวณสี่แยกราชประสงค์และกลุ่มนปช. ก็เคลื่อนขบวนไปปิดล้อมสถานีดาวเทียมไทยคมเพราะรัฐบาลตัดสัญญาณสถานีโทรทัศน์พีชทีวีแล้วนปช.เดินทางไปปิดล้อมรัฐสภาบุกเข้าไปในอาคารมีการยึดอาวุธและทำร้ายสารวัตรทหารจนบาดเจ็บและต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารโดยการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจึงเคลื่อนกำลังขอพื้นที่คืนเกิดการปะทะกับกลุ่มนปช.ติดอาวุธแล้วก็ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์และสะพานชมัยฯและอีกหลายจุดจนถึงบริเวณสี่แยกคอกวัว จากนั้นในตอนค่ำมีชายชุดดำแฝงในกลุ่มชุดแดงเอาใช้อาวุธปะปนอยู่ในกลุ่มนปช. และซุ่มอยู่ตามอาคารบริเวณดังกล่าวมีการยิงด้วยเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 จากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายมีเจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากจากนั้นกลุ่มนปช. นี้ก็ย้ายไปราชประสงค์จนถึงตอนยุติการชุมนุมแต่กลับมีสถานการณ์จลาจลจะมีผู้ก่อเหตุกราดยิงในวัดปทุมวนาราม
ช่วงหนึ่งของการไต่สวนมูลฟ้องฉบับนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะเกิดเหตุปี 2553 การชุมนุมทำการปิดกั้นกีดขวางการจราจรบนถนนทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนการชุมนุมมีการใช้อาวุธและมีกองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ โดยเจ้สหน้าที่ได้รับคำสั่งใหเข้ามากระชับพื้นที่หรือขอคืนพื้นที่ชุมนุมเป็นเหตุให้ควบคุมสถานการณ์ด้วยคำประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามกฎหมายทั้งนี้เพื่อแก้ไขให้เกิดความสงบเรียบร้อย
ในตอนท้ายสรุปว่าจากหลักฐานพยานเข้าไต่สวนมานั้นมีเหตุผลให้เชื่อว่าจำเลยคือนายธาริต เพ็งดิษฐ์และคณะสี่คนมิได้ปฎิบัติหน้าที่ตามกฏหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการอาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 200 ตามฟ้องได้
#เสียใจต่อกรณีสีผู้เสียชีวิตนะคะ แต่…#ใครฆ่ากันแน่ #กระสุนแบบเดียวกับเจ้าหน้าที่ใช้พวกโจรก็เอาไปใช้กันเยอะแยะ #ใครปล้นปืนเจ้าหน้าที่ไปก่อนหน้านี้อีก #ชำระประวัติศาสตร์ต้องให้ถูกต้องเป็นธรรมที่แท้ทรู
ดิฉันสรุปเรื่องนี้ให้พวกคณะของแม่น้องเกดและประชาชนเสื้อแดงอื่นๆเพื่อให้ได้สติว่าอย่าตกเป็นเหยื่อของกลุ่มนปช.ทักษิณอีก อย่าเป็นเครื่องมือลุกขึ้นมาปลุกปั่นอีกรอบ เพราะการจะเรียกร้องหาข้อเท็จจริงต้องปราศจากอคติและควรปรารถนาดีต่อลูกหลานของตัวเองจริงๆไม่ใช่ตั้งแง่แต่ว่าต้องใส่ร้ายทหาร หลักฐานพยานอีกประการหนึ่งคือวิถีกระสุนที่มีการพิสูจน์หลักฐานของที่นิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรมในปี 2553 นั้นก็ชัดเจนดีว่าเป็นวิถีกระสุนพี่ไม่ได้มาจากมุมสูงแต่เป็นมุมราบ แล้วใครที่อยู่ในมุมราบใช่ชายชุดดำหรือไม่แล้วชายชุดดำมาจากใครคงต้องถามนปช.และทักษิณ
นี่ต่างหาก 12 ปีของการครบรอบผู้ที่กระทำระยำตำบอนกับประเทศชาติบ้านเมืองและเจตนาจะใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองโดยที่ไม่ชะโงกดูพฤติกรรมตัวเองว่าครอบครองอาวุธกันทำไมติดอาวุธเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายตามที่แกนนำนปช.อย่างนายอริสมันต์เคยประกาศบนเวทีเพื่ออะไร
#หาความจริงต้องหยุดอคติ #ยอมรับก่อนสิว่ามีเหตุชายชุดดำยิงเอาศพไปนับเพื่อยกระดับเป็นจราจลใช่ไหม #ใครดราม่าสั่งการให้จราจลมาจากแดนไกล ใครVDO CALL”