ที่สโมสรทหารบก นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการที่มีผู้เผยแพร่ภาพรถแห่ของกลุ่มประชาภิวัฒน์และชาวพิษณุโลกเชิญชวนแสดงความคิดเห็นและจัดทำนโยบายร่วมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ว่า ตนไม่ขอตอบอะไรเกี่ยวกับการทำกิจกรรมเฉพาะอย่าง เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดูแลและวินิจฉัยอยู่ ตนอยู่ในรัฐบาลคงไม่ไปวินิจฉัยอะไร แต่สามารถเตือนได้ว่าขอให้ระมัดระวัง เพราะทุกอย่างอยู่ในสายตาที่ถึงวันหนึ่งจะมีการนำมาใช้ประโยชน์หรือเป็นเหตุผลเมื่อถึงวันที่รู้ผลแพ้-ชนะเลือกตั้ง ซึ่งอาจเกิดการฟ้องร้องกันและทำให้การเลือกตั้งกลายเป็นโมฆะได้ ทั้งนี้ เมื่อทุกคนรู้ว่ามีคนจ้องเก็บหลักฐานอยู่ก็อย่าไปทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงจะเป็นความผิด ขอให้เก็บเป็นหลักฐานไว้ หลังการเลือกตั้งแล้วค่อยเอามาว่ากัน
เมื่อถามว่าการอนุญาตให้พรรคการเมืองสามารถประชาสัมพันธ์ในการหาสมาชิก จะสุ่มเสี่ยงเป็นช่องให้มีการหาเสียงได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ได้อยู่ที่ถ้อยคำ แต่อยู่ที่เนื้อหา รูปแบบ และวิธีการเป็นสำคัญ ส่วนการเปิดนโยบายในการหาสมาชิกพรรคนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะบอกว่าพรรคตัวเองกำลังคิดอะไร เพราะฉะนั้น ไม่ใช่การหาเสียง การแสดงนโยบายหรือแนวคิดที่ว่าประเทศควรมีหน้าตาเป็นอย่างไรนั้นเป็นสิ่งที่พูดได้ ถ้าพูดเป็น มันพูดได้ แต่หากไปพูดด้วยว่าจงเลือกพรรคของตัวเองหรือเลือกใคร แบบนี้คือการหาเสียง
ต่อข้อถามว่าการแสดงวิสัยทัศน์ถือเป็นกิจกรรมทางการเมืองหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เราใช้คำพูดกันว่าห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง แต่ในคำสั่งจริงๆไม่ได้ใช้คำนี้ คำสั่งระบุว่าห้ามชุมนุมกันเกิน 5 คนเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง จึงต้องไปแปลกันว่าการทำกิจกรรมทางการเมืองคืออะไร แต่การพูดอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ทุกฝ่ายพูดได้ เมื่อถามว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์จะมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค ผู้สมัครหัวหน้าพรรคสามารถแสดงวิสัยทัศน์ได้หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ทำได้ เพราะเมื่อจะประชุมพรรค พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องแจ้งคณะกรรมการการ้ลือกตั้ง (กกต.) อยู่แล้ว
เมื่อถามว่าพรรคการเมืองยังตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อห้ามการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์ นายวิษณุ กล่าวว่า เวลาเราพูดสั้นๆว่าห้ามใช้สื่อโซเชียลในการหาเสียง จะว่าถูกก็ถูก จะว่าผิดก็ผิด โดยที่ถูกคือเขาห้ามเฉพาะช่วงนี้เท่านั้น เมื่อปลดล็อกแล้วทุกพรรคก็ใช้ได้ แต่เหตุผลที่วันนี้ห้ามไว้ อย่าว่าแต่ใช้สื่อโซเชียลหาเสียงเลย ใช้อะไรก็ไม่ได้ ฉะนั้น เวลามาเน้นกันว่าห้ามใช้สื่อโซเชียลในการหาเสียง จึงฟังดูมากเกินความจริง เพราะจะใช้อะไรหาเสียงก็ไม่ได้อยู่แล้ว จึงไม่รู้จะพูดกันทำไม เมื่อไรที่ปลดล็อกเขาก็ให้ใช้ได้ แต่ถ้าใช้ไม่ได้ค่อยมาตำหนิกัน ส่วนที่มีการโจมตีรัฐบาลว่าใช้สื่อในการประชาสัมพันธ์อยู่นั้น ตนรับทราบและเข้าใจว่ามีคนที่พยายามดิสเครดิต คงต้องปล่อยให้เขาทำไป และคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่ช่วงนี้ใกล้การเลือกตั้ง เพราะไม่ว่าจะเป็นเวลาปกติหรือใกล้เลือกตั้งพอดี รัฐบาลก็ต้องทำหน้าที่อยู่แล้ว ดังนั้น รัฐบาลต้องมีกำลังใจในการทำหน้าที่้เพื่อประชาชนต่อไป
เมื่อถามว่าการที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตอบโต้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถือเป็นการสร้างความไม่สงบที่ส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ไม่ตอบ เพราะผมไม่รู้”
เมื่อถามต่อว่ายิ่งใกล้วันเลือกตั้ง แต่ละพรรคเริ่มออกมาโจมตีกัน นายวิษณุ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดขึ้น จึงมีการระมัดระวังในช่วง 90 วันนี้ที่ให้เป็นเพียงการคลายล็อก เพราะหากปลดล็อกยิ่งจะเชิญชวนให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเร็ว
เมื่อถามถึงความชัดเจนของรัฐมนตรีที่จะเข้าสังกัดพรรคการเมืองว่าสามารถดำรงตำแหน่งอยู่ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ความชัดเจนมีมานานแล้วว่ารัฐมนตรีจะไปทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องลาออก แต่หากเสี่ยงต่อคำครหานินทา ก็แล้วแต่ความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล ถ้าแบ่งเวลาได้หรือทำได้ดี ไม่เอาเวลาราชการไปทำงานการเมืองของพรรค ถ้าแบบนั้นก็ทำได้ แต่ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ก็ลาออกไป ที่สำคัญ รัฐมนตรีจะลงสมัครรับเลือกตั้งไม่ได้ แต่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ ได้ เพราะไม่มีอะไรห้าม แต่ในสังคมไทย แม้กฎหมายไม่ได้ห้ามก็มีสิ่งที่ถูกตำหนิได้ซึ่งต้องไปคิดเอง
เมื่อถามว่า หากเป็นรัฐมนตรีและดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองด้วย จะถูกสังคมตำหนิหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ไม่น่าจะตำหนิ แต่กลับเป็นการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป ข้อสำคัญคือต้องไม่ใช้ความเป็นรัฐมนตรีไปทำประโยชน์ให้พรรคที่ตนเป็นสมาชิกหรือเป็นหัวหน้า”