ศึกสอง”พล.ต.อ.”ประดาบ ผลสางคดี“สองมาตรฐานชัดเจน”ฝ่ายไร้อำนาจถูกลุยปานจรวด

545

     ในห้วงที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)และพล.ต.อ.สุรเชชษ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ถูกนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สมัยนั้นสั่งให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี เพราะขัดแย้งกันพร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวน ผู้ใต้บังบัญชาของทั้งสองต่างแจ้งความกล่าวหากันในหลายคดี

      ระหว่างคณะกรรมการสอบสวนชุดที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นมาดำเนินการสอบสวน พล.ต.อ.สุเชชษ์ ถูกสั่งให้กลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามด้วยคำสั่งให้ออกจาราชการไว้ก่อน หลังจากนั้นมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กลับไปรับตำแหน่งเดิมเพราะไม่พบความผิด ต่อมาคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)และคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ(ก.พ.ค.ตร.) ลงมติว่าคำสั่งออกจากราชการไว้ก่อนที่สั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษ์ ชอบด้วยกฎหมาย ทางพล.ต.อ.สุรเชชษ์ จะวางแนวทางต่อสู้อย่างไรคงต้องติดตาม แต่ที่อยากตั้งข้อสังเกตคือคดีความที่เกี่ยวข้องกับผู้ใต้บังคับบัญชาของสอง ‘พล.ต.อ.’ ส่อว่าทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการในลักษณะสองมาตรฐาน

  เพราะหลังจาก พล.ต.อ.สุรเชชษ์ พ้นจากราชการ คดีความของผู้ใต้บังคับบัญชาถูกดำเนินการอย่างรวดเร็ว  ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 กันยายน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ มีคำสั่งที่ 436/2567 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผู้บังคับการศูนย์อบรมกองบัญชาการตำรวจนครบาล พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิสมัย รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิสมัย ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี พ.ต.อ.อาริศ คูประสิทธิ์รัตน์ ผกก.ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดฉะเชิงเทรา  พ.ต.อ.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รองผกก.ป.สภ.พระสมุทรเจดีย์ สมุทรปราการ พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร สวป.สภ.พระประแดง สมุทรปราการ  ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หัดแวว ผบ.หมู่งานจราจร บก.จร.และ ส.ต.อ.อภสิทธิ์ คนยงค์ ผบ.หมู่ สภ.บางปะกง ฉะเชิงเทรา

    ตามด้วยคำสั่ง 437/2567 ให้ตำรวจทั้ง 8 นายออกจากราชการไว้ก่อน   สืบเนื่องจากตำรวจทั้ง 8 นายถูกตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2566 ฐานพัวพันกับเว็บพนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่

       ขณะเดียวกันมีข่าวสะพัดว่ามีคำสั่งจากบิ๊กตำรวจให้เร่งดำเนินการสอบสวนสรุปสำนวนคดีอื่นๆที่ตำรวจในเครือข่ายของ พล.ต.อ.สุรเชชษ์ ถูกแจ้งความดำเนินคดีไว้รวมถึงประสานให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)เร่งตรวจสอบสวนทรัพย์สินที่อายัดไว้เพื่อดำเนินการยึดโดยเร็ว

       เมื่อมาส่องคดีความที่ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือเครือข่าย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เข้าไปเอี่ยว ตามที่นายษิธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เข้าแจ้งความไว้ที่ สน.เตาปูน เมื่อวันที่ 1 เมษายน โดยนำหลักฐานชุดเดียวกันกับที่ส่งมอบให้กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการประพฤติมิชอบ(บก.ปปป.)จำนวน 157 แผ่น ข้อหาฟอกเงิน เอกสารดังกล่าวระบุถึงเส้นทางจากบัญชีม้าโอนให้บิ๊กตำรวจ เครือข่ายและคนใกล้ชิด รวมถึงร้องให้จเรตำรวจ สอบสวนทางวินัยกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์

         ซึ่งนายษิธา มองว่าการดำเนินการค่อนข้างช้าล่าสุดเมื่อวันที่ 4 กันยายน เข้าพบพล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม ประธานคณะกรรมการพิจารณาร้องเรียนตำรวจ(ก.ร.ตร.) สำนักงานจเรตำรวจ เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีร้องให้ตรวจสอบวินัย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ โดยนายษิธา ระบุว่า เรื่องร้องเรียนไม่มีความคืบหน้า ตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงขณะนี้ คณะกรรมการฯยังไม่ได้เรียกผู้ถูกกล่าวหาเข้าชี้แจงหรือให้ข้อมูลเลย ทั้งที่ได้นำพยานบุคคลรวมถึงเอกสารต่างๆมอบให้หมดแล้ว

        ขณะที่ พล.ต.ท.สรศักดิ์ บอกว่ามีความคืบหน้าพอสมควร ยอมรับว่ามีอุปสรรคและปัญหาเรื่องเอกสารจากหน่วยงานต่างๆบ้าง แต่คณะกรรมการจะเร่งรัดการทำงานให้ทันกรอบของกฎหมายภายใน 180 วัน หากไม่เสร็จสามารถขยายเวลาได้  ที่ยกมาเป็นส่วนหนึ่งของความล่าช้าในคดีความและเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบและสอบสวน พอบ่งบอกถึงมาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายได้เป็นอย่างดีว่าหากคดีความที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ยังครองอำนาจอยู่ กระบวนการจะดำเนินไปอย่างล่าช้าใช้ช่องว่างของกฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อลากยาว หรือเก็บดองไว้บางคดีถึงขั้นหมดอายุความผู้ถูกกล่าวหาลอยนวลการบังคับใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐานชาวสีกากีต่างทราบกันดี หากมีความขัดแย้งกันระดับบิ๊กตำรวจ ฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำมหกรรมการเช็คบิลจะเกิดขึ้นแบบฉับไว จากผู้ชนะขณะที่คดีความของตัวเองจะสั่งให้ยื้อจนถึงที่สุด

       หรือแม้แต่เอกสารทางคดีหากเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจในรัฐบาลไม่ว่าหน่วยงานไหนร้องขอเพื่อนำไปประกอบสำนวนคดีจะถูกยื้อจนถึงที่สุดเช่นกัน อย่างกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ขอหลักฐานเกี่ยวกับนอนพักรักษาตัวของนักโทษที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ยังไร้คำตอบว่าจะส่งให้เมื่อใด

   ดังนั้นหากจะคาดหวังการบังคับใช้กฎหมายแบบมาตรฐานเดียว จากบรรดาบิ๊กตำรวจคงต้องทำใจเท่านั้น ยิ่งพ่ายในเกมอำนาจด้วยแล้วทางผู้พ่ายรวมถึงเครือข่ายต้องทำใจยอมรับสภาพแบบไร้ข้อโต้แย้ง !!!