“รองฯโจ๊ก” เผย ยังไม่ได้รับหนังสือกำหนดวันรับทราบข้อหาวินัย หากส่งหนังสือมาก็ต้องไปส่วนการร้องศาลปกครองสูงสุด อยู่ระหว่างเตรียมเอกสาร ยังไม่ทราบข่าวโปรดเกล้าฯพ้นตำแหน่ง
วันที่ 15 ส.ค.67 พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร. หัวหน้าคณะกรรมการสอบสวนวินัย กรณี พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ พร้อมพวกรวม 5 คน กระทำผิดวินัยร้ายแรง เรียกประชุมความคืบหน้าทางคดีและจะกำหนดวันรับทราบข้อกล่าวหา ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากคณะกรรมการสอบสวนวินัยให้เข้ารับทราบข้อหา แต่หากหลังจากนี้มีการส่งหมายให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา ก็จะต้องเดินทางไปอยู่แล้วตามกระบวนการ
ส่วนการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตนเอง หลังผลคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร.ยกคำร้องอุทธรณ์ของพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ซึ่งจะต้องยื่นภายใน 90 วันนั้น พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมเอกสาร ยังระบุไม่ได้ว่าจะไปยื่นศาลปกครองวันไหน
ส่วนกระแสข่าวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน ส่งมาที่สำนักงานนายกรัฐมนตรี เพื่อรอนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้ออกจากราชการ นั้น
พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ระบุว่า ยังไม่ทราบ แต่ยังไงก็ต้องโปรดเกล้าฯอยู่แล้ว เหมือนกับสมัย พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ซึ่งในส่วนของตนนั้นหากมีโปรดเกล้าฯแล้ว ก็ยังสามารถยื่นศาลปกครองได้อยู่ และหากศาลปกครองมีคำสั่งให้กลับก็ว่าไปตามกระบวนการ
“พล.ต.อ.สราวุฒิ” เรียกสอบพยานเพิ่มอีก 5-6 ปาก ยันผลสอบวินัยร้ายแรง” รองฯโจ๊ก” เสร็จทันกรอบ 270 วัน หากผลเป็นลบถึงขั้นไล่ออก-ปลดออก ย้ำคณะกรรมการชุดนี้เป็นกลาง
วันนี้ (15 ส.ค 67) เวลา 13.20 น. ที่ กองบังคับการปราบปราม (กองปราบ) พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร. ประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัย กรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมพวก รวม 5 คน กระทำผิดวินัยร้ายแรง จะเรียกประชุมความคืบหน้าทางคดี โดยจะกำหนดวันรับทราบข้อกล่าวหาของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กับพวก ซึ่งจะแจ้งให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหา
พล.ต.อ.สราวุฒิ กล่าวว่า วันนี้ได้มาติดตามความคืบหน้าของคณะกรรมการ ซึ่งขณะนี้ได้ทำงานไปหลังจากที่ได้รับทราบคำสั่งเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 หลังจากนั้นมีระยะเวลา 15 วันในการรวบรวมและแจ้งข้อกล่าวหาให้กับผู้ถูกกล่าวหารับทราบภายใน 15 วัน จากนั้นเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ได้เริ่มทำการรวบรวมพยานหลักฐาน จากพยานของฝ่ายผู้กล่าวหาซึ่งมีการสอบพยานไปจำนวนมาก เพราะการทำหน้าที่ครั้งนี้ต้องยึดภายใต้ระเบียบ ข้อกฎหมาย และให้ความยุติธรรม หากเปรียบภารกิจครั้งนี้เหมือนเป็นกรรมการของฟุตบอลระหว่างทีมชาติไทยแข่งกับทีมชาติเวียดนามหมายถึงว่าคนไทยทุกคนและสังคมไทยเฝ้ามองดูอยู่ ในฐานะที่เป็นกรรมการ ผมต้องแสดงความเป็นกลางและให้ความเป็นธรรมกับเกมนี้ให้มากที่สุด
พล.ต.อ.สราวุฒิ กล่าวอีกว่า การสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ของฝ่ายผู้กล่าวหาเสร็จสิ้นแล้วแต่ปรากฏว่าทางผู้ถูกกล่าวหามาให้การเพิ่มและมีการกล่าวอ้างไปถึงพยานอีก 5-6 ปาก คณะกรรมการชุดนี้จะต้องให้ความเป็นธรรมจึงต้องสอบพยานเพิ่มอีก หลังจากสอบเสร็จสิ้นจะมาสรุป รวบรวมพยานหลักฐาน หารือ พิจารณากันว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาในลักษณะอย่างไร อาจจะเป็นบวกหรือลบยังไม่รู้ สำหรับคณะกรรมการชุดนี้มีระยะเวลาทั้งสิ้น 270 วัน โดยหลังจากวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 มีระยะเวลา 60 วัน การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จจึงขอขยายไปทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) อีก 60 วัน ซึ่งจะครบในวันที่ 12 กันยายน 2567 และยังมีสิทธิ์ที่จะขอขยายเวลาไปอีก 60 วันได้ แต่กระบวนการทั้งหมดจะต้องอยู่ในกรอบระยะเวลา 270 วัน
เมื่อถามว่าทาง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ไม่เคยเดินทางมาเลย ได้ให้ความร่วมมือหรือไม่ พล.ต.อ.สราวุฒิ กล่าวว่า เขาให้ความร่วมมือ เพราะเป็นสิทธิ์ ในการที่จะเข้ามาหรือจะชี้แจงเป็นเอกสารก็ได้
ถามอีกว่าผลที่จะออกมามีทั้งบวกและลบ หากเป็นลบจะไปทางไหนได้บ้าง พล.ต.อ.สราวุฒิ กล่าวว่า ลบก็หมายถึงว่าเราก็แจ้งข้อกล่าวหาไปว่าเขากระทำความผิดตามที่คณะกรรมการมีหน้าที่ หลังจากนั้นเป็นสิทธิ์ของเขาเองว่าจะไปร้องอะไรอย่างไรหรือไม่
ถามต่อว่าผลที่ออกมาหากเป็นลบโทษจะถึงขั้นปลดออกไล่ออกหรือไม่ พล.ต.อ.สราวุฒิ กล่าวว่า ใช่ ขึ้นอยู่ที่คณะกรรมการจะพิจารณา มี 2 ประเด็นนี้
ส่วนผลของคณะกรรมการชุดอื่นที่มีมติออกมาแล้วจะกดดันการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้หรือไม่ พล.ต.อ.สราวุฒิ กล่าวว่า ผมว่าเป็นคนละเรื่อง และคนละหน้าที่กัน ไม่มีส่วนกดดันอะไรเลย แต่อย่างไรก็ดีได้ทำหนังสือสอบถามถึงผลการวินิจฉัยถึงทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความเป็นธรรมและเกิดความรอบคอบมากที่สุด