“ศุภโชติ” ชี้ความเป็นไปได้ค่าไฟทะลุ 6 บาท ผลพวงมาตรการยืดหนี้ รัฐเอื้อทุนพลังงานก๊าซธรรรมชาติทำกำไร ละเลยแก้โครงสร้าง แนะระยะสั้น ตั้งงบกลางช่วยเหลือค่าไฟประชาชน
วันที่ 13 กรกฎาคม 2567 ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศอัตราค่าไฟสำหรับเดือนกันยายน – ธันวาคม 2567 ไว้ที่ 4.65 บาทต่อหน่วยในกรณีที่ดีที่สุด หรือแย่ที่สุด 6.01 บาทต่อหน่วย โดยระบุว่าที่ค่าไฟต่อหน่วยเป็นแบบนี้ เกิดจากมาตรการยืดหนี้ของรัฐบาลที่ให้ทั้ง กฟผ. และ ปตท. แบกหนี้ต้นทุนค่าไฟในงวดที่ผ่านๆ มากว่า 114,000 ล้านบาท ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่ประชาชนต้องชำระเงินคืนเจ้าหนี้ โดย 2 หน่วยงานดังกล่าวทำหนังสือถึง กกพ. ขอให้ขึ้นค่าไฟ ทั้งที่ต้นทุนค่าไฟที่แท้จริงที่ประชาชนควรได้รับอยู่ที่ 4.12 บาทต่อหน่วย ปรับขึ้นจากงวดก่อนเนื่องจากราคาก๊าซโลกเพิ่มสูงขึ้น
ศุภโชติกล่าวว่า สิ่งที่เรียกร้องมาตลอดคือการมีมาตรการที่ส่งผลอย่างยั่งยืน ถึงแม้รัฐบาลจะทำตามสิ่งที่เราเรียกร้องข้อแรกอย่างมาตรการการถัวเฉลี่ยราคาก๊าซธรรมชาติ โดยนำก๊าซธรรมชาติราคาถูกที่ปกติขายให้กับกลุ่มปิโตรเคมีอย่างเดียว มาถัวเฉลี่ยต้นทุนกับก๊าซธรรมชาติที่มีราคาแพง แต่ยังมีอีกหลายมาตรการที่รัฐบาลทำได้ผ่านการทำผ่านงบประมาณแผ่นดิน เช่น การตั้งงบกลางเพื่อช่วยเหลือค่าไฟในยามฉุกเฉิน สนับสนุนพลังงานสะอาดอย่างโซลาร์เซลล์สำหรับประชาชน หรือการกล้าเข้าไปเจรจาแก้ไขสัญญาโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีอยู่แล้วไม่ได้ใช้ เพื่อลดค่าความพร้อมจ่าย
“แม้การตอบกระทู้สดของนายกฯ ล่าสุด เสมือนยอมรับว่าจะอั้นงบกลางไว้ทำดิจิทัลวอลเล็ตตอนปลายปี แต่เห็นความเดือดร้อนของประชาชนแบบนี้ ท่านควรทบทวนให้ความสำคัญกับปัญหาที่เห็นตรงหน้า ไม่ควรปล่อยผ่านให้ประชาชนรอต่อไป” ศุภโชติกล่าว
สส.บัญชีรายชื่อ กล่าวต่อว่า นอกจากที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้มีความพยายามแก้ไขปัญหาค่าไฟแพงแล้ว หนำซ้ำตอนนี้ยังพยายามทำให้ปัญหาแย่ลงอีกในระยะยาว เพราะการที่ค่าไฟของพี่น้องประชาชนขึ้น ๆ ลง ๆ มาจากการวางแผนที่ผิดพลาดในอดีต ผ่านการทำแผนพลังงานชาติฉบับก่อนๆ ที่ผลักประเทศให้พึ่งพาก๊าซธรรมชาติที่มีความผันผวนด้านราคา ซึ่งถ้ารัฐบาลมีความตั้งใจจะแก้ไขปัญหานี้ ต้องมีการสะท้อนออกมาผ่านร่างแผนพลังงานชาติฉบับใหม่ หรือ PDP 2024 แต่ตัวร่างที่เพิ่งออกมา กลับแสดงให้เห็นปัญหาเดิม ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นอีก
เช่น การคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงกว่าความเป็นจริง จนส่งผลให้มีโรงไฟฟ้าเยอะเกิน โรงไฟฟ้าใหม่ก็เน้นสร้างแต่โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ ทั้งที่เรามีตัวเลือกโรงไฟฟ้าประเภทอื่นที่ราคาถูกกว่าและปล่อยมลพิษน้อยกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ารัฐบาลไม่เอาประชาชนเป็นที่ตั้งในการทำแผน ยังคงยึดติดกับโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่มีราคาผันผวน และเป็นที่ทราบกันดีว่ามีกลุ่มทุนเจ้าใหญ่ได้ประโยชน์จากแนวทางนี้
“ปัญหาราคาค่าไฟ ค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องวิกฤต รัฐบาลต้องเร่งทำมาตรการระยะสั้นอื่น ๆ เหมือนที่ผมได้เสนอไป พร้อมกับวางแผนระยะยาวที่ถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่อย่างนั้นประชาชนจะมองว่ารัฐบาลไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากบทเรียนในอดีต กลับมุ่งแต่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงานทำกำไร จากการจำกัดทางเลือกให้ประเทศใช้แต่ไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งสุดท้ายผลกระทบก็มาตกกับประชาชนผ่านบิลค่าไฟ” ศุภโชติกล่าว