ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.ท.ปองพล เอี่ยมวิจารณ์ รองโฆษก ตร.เปิดว่า จากกรณีที่ น.ส. รัชดา ธนาดิเรก อดีตสส.กทม.พรรค ปชป.และเครือข่ายสตรีจัดเวทีเสวนาด้านความเสมอภาคทางเพศได้เสนอข้อเรียกร้องความเสมอภาคทางเพศ และมีความเห็นกรณีการรับสมัครบุคคลธรรมดา ข้ารับราชการตำรวจในตำแหน่งพนักงานสอบสวน ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าไม่คำนึงถึงความเสมอภาคตามหลักสากล เนื่องจากเปิดรับสมัครแต่เพศชายเท่านั้น
เนื่องจากในปัจจุบัน สํานักงานตํารวจแห่งชาติประสบภาวะขาดแคลนพนักงานสอบสวนกว่า 2,000 ตำแหน่ง แต่ในวาระนี้สามารถเปิดรับสมัครได้เพียง 250 ตำแหน่งเท่านั้น จึงยังคงขาดแคลนพนักงานสอบสวนอีกกว่า 1,700 ตำแหน่ง ส่งผลให้ไม่สามารถให้บริการพี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้อย่างเพียงพอและทั่วถึง โดยในปัจจุบันพนักงานสอบสวนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ตามสถานีตำรวจต่างๆ ทั่วประเทศ ต้องแบกรับภาระปริมาณงานที่สูงเกินศักยภาพที่บุคคลจะสามารถรับได้ โดยพนักงานสอบสวนหนึ่งคน ควรจะรับผิดชอบคดีเพียงแค่ 70 คดีต่อปีเท่านั้น แต่ในปัจจุบันกลับพบว่าพนักงานสอบสวนบางคนรับคดีมากกว่า1,000 คดีต่อปี เป็นเหตุให้มีปัญหาการลาออกจากราชการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพนักงานสอบหญิง เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องแบกรับภาระหน้าที่ทางครอบครัวที่หนักกว่าพนักงานสอบสวนชาย รวมไปถึงความรับผิดชอบอื่นๆ ส่วนพนักงานสอบสวนที่ยังคงรับราชการอยู่ต้องประสบภาวะ ปริมาณงานที่มากเกิน ศักยภาพ ทำให้มีสำนวนคั่งค้างเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดความเครียดสะสมจนทำให้พนักงานสอบสวนบางรายตัดสินใจกระทำอัตวิบาตกรรมดังที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ ดังนั้น การที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งเปิดรับสมัครบุคคลธรรมดาเข้าเป็นข้าราชการตำรวจในตำแหน่งพนักงานสอบสวน โดยเปิดรับสมัครแต่เพศชายในกรณีนี้ ด้วยมีเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นการเร่งด่วน โดยคำนึงถึงสวัสดิภาพของเพศหญิงเป็นสำคัญ หาใช่การริดรอนสิทธิสตรีไม่
พ.ต.ท.ปองพล เปิดเผยต่อไปว่า สำหรับกรณีที่ การเสวนาดังกล่าวได้แสดงความห่วงใยเรื่องความเปราะบางของผู้เสียหายหรือเหยื่อที่เป็นสตรีและเด็กนั้น ยังมีนักเรียนนายร้อยตำรวจหญิงที่จะจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจทุกปีมาบรรจุเป็นพนักงานสอบสวนอยู่อีกส่วนหนึ่งแล้ว นอกจากนั้นในการสอบปากคำผู้เสียหายที่มีความเปราะบางทางอารมณ์นั้น ตามกฎหมายแล้วต้องกระทำร่วมกันกับสหวิชาชีพและ กระทำอย่างมืออาชีพ ซึ่งพนักงานสอบสวนทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนคำนึงถึงประเด็นนี้เป็นสำคัญอยู่แล้ว และจากสถิติพบว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 ถึง 2559 นั้น คดีความรุนแรงทางเพศนั้นมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่มีจำนวนกว่า 3,300 คดีต่อปี ลดลงเหลือเพียง 2,200 คดีต่อปี ซึ่งสถิติการลดลงนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ที่พนักงานสอบสวนหญิงที่จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจและลงปฏิบัติงานจริงเป็นปีแรก นอกจากนั้นโรงเรียนนายร้อยตำรวจยังเป็นสถาบันแรกที่เปิดรับนักเรียนนายร้อยตำรวจหญิงเข้าฝึกและศึกษาร่วมกับนักเรียนนายร้อยตำรวจชายที่จบจากโรงเรียนเตรียมทหาร และจากทางอื่ เพื่อจะไปปฏิบัติหน้าที่ในขอบเขตงานที่เกี่ยวกับเพศเป็นหลัก ย่อมแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่จะสร้างความเสมอภาคระหว่างเพศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พ.ต.ท.ปองพล ยังกล่าวต่ออีกว่า ในภายภาคหน้าเมื่อสภาวะความขาดแคลนพนักงานสอบสวนบรรเทาเบาบางลงแล้ว สํานักงานตํารวจแห่งชาติพิจารณาเปิดรับพนักงานสอบสวนหญิงในอัตราส่วนที่มากกว่า พนักงานสอบสวนชาย เพื่อทดแทนพนักงานสอบสวนหญิงที่ลาออกไปเป็นจำนวนมากก็เป็นได้