สร้างความงุนงงให้ประชาชนและชาวสีกากีเป็นอย่างมาก เมื่อ นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แถลงถึงประเด็นการสอบสวนของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ว่าสอบสวนแล้วคดีความต่างๆส่งหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมไปแล้ว ไม่มีอะไรจะสอบแล้วทางนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้กลับไปตำแหน่งเดิม
ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ที่ถูกออกจากราชการไว้ก่อน นายวิษณุ ชี้แจงว่า คำสั่งไม่ถูกต้องไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายตำรวจฉบับใหม่ และคณะกรรมการกฤษฎีกา มีมติ 10 ต่อ 0 เห็นว่าการให้ออกจากราชการนั้นไปกระทบสิทธิของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ขอแนะนำไปแก้ไขให้ถูกต้อง
ซึ่งประเด็นดังกล่าวทางสำนักนายกรัฐมนตรีไม่ได้สอบถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่คณะกรรมการกฤษฎีกา ชุดที่นายวิษณุ เป็นประธานกลับนำไปพิจารณาในลักษณะคำแนะนำ ไม่แน่ใจว่าคำแนะนำนี้จะเข้าทำนองเหาะเกินลงกา ตามที่นายวิษณุ เคยใช้มาในอดีตหรือไม่ ?
การเสนอแนะในประเด็นนี้จะดำเนินการอย่างไรต่อ ต้องติดตาม แต่ผลการแถลงของ นายวิษณุ กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ของบรรดาบิ๊กสื่อทั้งหลายว่าไม่มีเจ๊ามีแต่เจ๊ง ยิ่งไปฟังคำแถลงของนายวิษณุ ระบุว่า
” ตำรวจทุกระดับชั้นมีความขัดแย้งกันตั้งแต่ระดับสูง กลาง และล่าง มีการฟ้องร้อง เรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องทั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์แต่ละท่านมีทีมงานก็ขัดแย้งไปด้วย คดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเหล่านี้ อาทิ คดี 140 ล้าน วงเล็บมาในรายงานว่าคดีเป้รักผู้การเท่าไหร่ คดีกำนันนก คดีพนันออนไลน์มินนี่ คดีพนันออนไลน์บีเอ็นเค มีคดีแยกย่อยออกไปอีก 10 คดี แยกย้ายไปตาม สน.และอยู่ในศาลประพฤติมิชอบ …”
พออนุมานได้ว่าทั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ต่างมีส่วนเกี่ยวพันกับคดีเหล่านั้น แต่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กลับมามีอำนาจดังเดิม ส่วน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ส่อว่าจะได้กลับมาเช่นกัน
บรรดาชาวสีกากีและสื่อแขนงต่างๆมองว่ารัฐบาลแก้ปัญหาแบบเด็กเล่นขายของ เมื่อเด็กทะเลาะกันแค่แยกจากกันพอหายโกรธหรือปรองดองกันให้กลับที่เดิม โดยไม่สนใจว่าแต่ละคนมีความผิดติดตัวหรือไม่ จึงไม่แปลกที่มีคำว่าปาหี่กระหึ่มโซเซียล ครั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กลับมานั่งเจ้าสำนักปทุมวัน เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าจะแก้ปมคำสั่งที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผบ.ตร.รักษาการราชแทน ผบ.ตร.เซ็นให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อนอย่างไร ?
“ถ้ามองอย่างเป็นธรรมตลอดเวลากว่า 4 เดือนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ นั่งกุมบังเหียนได้ปลุกสำนึกให้ชาวสีกากีทั่วประเทศมุ่งหน้าทำหน้าบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีผลจับกุมแบบรายวันทั้งรายเล็กถึงรายใหญ่มีเงินหมุนเวียนหลายหมื่นล้าน การปราบปรามยาเสพติดมีผลงานรุดหน้า แม้แต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ตำรวจได้รับคำชมจากประชาชนทุกหัวระแหง ผู้นำรัฐบาลก็ชื่นชมในผลงาน หากมองในเชิงบริหารถือว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ มีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการ มีกฎหมายรองรับทุกขั้นตอน การเซ็นคำสั่งใดๆย่อมมีความรอบคอบ ดังนั้นคำสั่งต่างๆที่เซ็นออกไปย่อมชอบด้วยกฎหมาย”
อย่างกรณีคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทาง พล.ต.อ.เอก อังสนานน์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ บอกว่า คณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)เกี่ยวกับดำเนินการทางวินัย ที่มี พล.ต.อ.วินัย ทองสอง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธาน สรุปผลพิจารณามีมติว่าคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน ลงนามโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ชอบด้วยกฎหมาย จะเสนอเข้าที่ประชุมก.ตร.พิจารณาลงมติ หากก.ตร.เห็นชอบเท่ากับคำสั่งมีผล หากเห็นแย้งว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจจะมีมติให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ แก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ปกติแล้ว อนุก.ตร.มีมติมาอย่างไร ก.ตร.ชุดใหญ่จะมีมติไปตามนั้น”พล.ต.อ.เอก ระบุ
ดังนั้นในวันที่ 26 มิถุนายน นายเศรษฐา นัดประชุม ก.ตร. อาจจะนำประเด็นเข้าพิจารณา คงต้องวัดใจ ก.ตร.ว่าจะยืนเป็นกำแพงอันแข็งแกร่งให้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พิงหรือเป็นแค่ตรายางเห็นแย้งตามที่ผู้มีอำนาจบางคนต้องการ หากผลออกมาแบบ ก.ตร.เป็นแค่กำแพงนุ่น เท่ากับว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เป็นเพียงหนังหน้าไฟที่ถูกยืมตัวมาเพียงเพื่อกู้ภาพลักษณ์ให้องค์กรสีกากีกลับมาบวกในสายตาประชาชน แล้วถูกทิ้งขว้างเข้าทำนองเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล
เมื่อจบบริบทนี้ลง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิที่ตำรวจทั่วประเทศไว้วางใจเลือกมาเป็นปากเป็นเสียงแทนตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นได้แค่เจว็ด ซึ่งไม่ต่างกับพวกที่ถูกสนตะพาย !!!