”ถ้าผู้นำประเทศ“ใช้วิถีพุทธ ผสมผสานได้ทุกระบบ บางเรื่องผ่อนปรนแบบประชาธิปไตย บางเรื่องต้องเด็ดขาดเหมือนเผด็จการ ในการควบคุมคนทั้งประเทศ

344

มานั่งมองการปกครองของไทยเรา แล้วกลับไปมองดูเวียตนามปกครองระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ มีพรรคคอมฯพรรคเดียว รูปแบบการปกครองชัดเจน ไม่ซับซ้อน และบริหารชาติเพื่อ ประชาชนคนส่วนรวมคน 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ไม่นับถือศาสนาใด(เพราะนักบวช จะตั้งตนเป็นเกจิ เป็นผู้นำทางจิตวิญญาน ทำให้สังคมวุ่นวาย และเกิดสงครามศาสนาขึ้น) ผู้นำผู้ปกครองทำอะไรก็ได้ วิธีการผสมผสานได้ทุกระบบ เหมือนจีน บางเรื่องผ่อนปรนแบบ ประชาธิปไตยบางเรื่องต้องเด็ดขาดเหมือนเผด็จการ ในการควบคุมคนทั้งประเทศ แต่ก็ทำเพื่อ ประชาชน อะไรก็ตามทำให้ ประขาชนดีทั้งนั้นและเจริญก้าวหน้าได้ ชาวโลกปัจจุบันรู้ทันการโฆษณาชวนเชื่อในสมัยสงครามเย็น ให้มองระบอบสังคมฯระบอบคอมฯเป็นปีศาจน่ากลัว(ซึ่งต้นกำเนิดระบอบคอมฯ มาจากศาสนาพุทธ คือระบอบคอมมูนฯ ใส่จีวรแค่ 3 ชิ้น มากว่า 2567 ปีแล้ว, ทุกอย่างเป็นกองกลาง,ตัดรักโลภโกรธหลง, มีระเบียบวินัยควบคุมถึง 227 ข้อ, ทุกคนเท่าเทียมกัน..หลักๆพวกนี้นักปรัชญานักปกครองอย่างสตาลิน และประธานเหมา เซตุง นำไปใช้ เพราะเป็นระบอบการปกครองที่ดี แต่ในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่สร้างสรรค์ไม่ก้าวหน้า ชาติและ ประชาชน.ไม่เจริญ และต้องใช้ปืนบังคับ.จนปัจจุบันทุกชาติที่ใช้ระบอบคอมฯ ถ้าไม่สูญสลายไป ก็ต้องเปลี่ยนแปลงผสมผสานผ่อนปรน …

ส่วนศาสนาของพระพุทธเจ้า ท่านได้กำหนดว่าจะอยู่ได้ประมาณ 5,000 ปี นี่ก็เข้ามาแล้วครึ่งนึง มองเห็นเค้าลางว่าจะจบสิ้นก่อนกำหนด เพราะเทคโนโลยีมาแรง สงฆ์ไม่ได้อยู่ป่าเขาเหมือนก่อน พระพุทธเจ้าละทิ้งวัง แต่สงฆ์ไทยสร้างวัดให้ยิ่งใหญ่เหมือนวัง และพฤติกรรมของนักบวชมีเรื่องมากมายพอๆกับตำรวจ เพราะเป็นผู้ดูแลผู้คนเหมือนกัน นักบวชต้องทำหน้าที่ดูแลจิตวิญญานความรู้สึกนึกคิดของ ประชาชนด้วยการเป็นครูสอนทางจิต และเป็นหมอรักษาทางใจ โดยนำพระธรรมมาสอนและรักษา ซึ่งนักบวชนั้นก็ต้องมีวินัย 227 ข้อกำกับตนเอง ให้สมกับศรัทธาที่ ประชาชน มอบให้ ส่วนตำรวจมีหน้าที่ดูแลระวังป้องกันชีวิตร่างกายทรัพย์สินของ ประชาชนด้วยกฎหมาย , วินัย 12 ข้อ และอำนาจที่ ประขาชนมอบให้ ..

พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ แต่เพื่อสอนชาวโลก จึงสร้างรูปแบบคอมมูนฯไว้เป็นตัวอย่าง การปฏิบัติ และระบอบของสงฆ์นี้เพื่อสร้างไว้ในจิตใจหรือจิตวิญญาน ให้คิดดีพูดดีทำดี เพื่อประคองชีวิตคนที่เกิดมาแค่ไม่เกิน 100 ปีให้อยู่รอดปลอดภัยสงบสุข คุ้มค่ากับที่เกิดมาเป็นคน โดยไม่มีการกำหนดโทษลงทัณฑ์ ไม่บังคับ..ไม่ได้มุ่งไปในทางการปกครองการบ้านการเมืองที่ต้องปกครองคนหมู่มาก แค่เป็นแนวทางฝึกที่จิตใจของแต่ละคน ผู้นำที่นำหลักปรัชญานี้ไปใช้รวมกับการปกครองคนทั้งชาติและด้วยกระบอกปืน จึงไปไม่รอดและไม่สำเร็จ เพราะคนละเรื่องกัน ส่วนรูปแบบของศาสนาเพื่อกล่อมเกลาผู้คน ในยุคแรกๆต้องมีสงฆ์สาวก เพื่อจดจำคำสอน น่าจะเป็นพันปีกว่าจะมีการบันทึก ลงในใบลาน ซึ่งอาจจะผิดเพี้ยนเพราะการแปลการเข้าใจของแต่ละชาติแต่ละภาษาไปบ้าง แม้ล่าสุดมีพระไตรปิฎก ก็ถูกสังฆายนาไปตามกระแสโลกและกิเลสของนักบวชที่มาแก้ไขปรับปรุง ..

แต่ที่ไม่ผิดแน่นอนคือการพัฒนาของกฏสังคม มาเป็นกฎศาสนา แล้วเข้าไปเป็นตำรากฏหมาย แค่ศีล 5 ของพระพุทธเจ้าก็กลายเป็นกฎหมายอาญา ขยายแต่ละข้อเป็นหลายมาตราหลายกรรม เป็นตำราใช้คล้ายคลึงกันทั่วโลก ผืดถูกชั่วดีอยู่ในกฎหมายทั้งสิ้น พร้อมบทลงโทษแต่ละกรรมเพื่อควบคุมคนที่ไม่สามารถควบคุมจิตใจตนเองตามธรรมะได้ ยิ่งมีเทคโนโลยี่มือถือ ทุกคนสามารถหาความรู้และข้อมูลต่างๆได้ ไม่ต้องให้ใครไปเผยแผ่คำสอนอะไร เพราะส่วนใหญ่นักบวชก็แปลคำสอนผิดเพี้ยน และมีแต่สร้างปัญหา

ศาสนาพุทธไม่มีวันสูญสิ้น คำสอนหลักไปอยู่ในกฎหมายอาญา คำสอนอื่นๆมีในพระไตรปิฎก แต่ต้องใช้ปัญญาแยกแยะตามหลักกาลามสูตร..สรุปแล้วทุกชาติทุกภาษา อยู่ที่ผู้นำผู้ปกครองของชาตินั้นๆไม่ว่าจะเป็นระบอบใด ว่าบริหารงานของชาติของคนส่วนรวมไปเพื่อชาติเพื่อคนส่วนรวมหรือไม่ ถ้าใช่ ประเทศชาติก็เจริญ และ ประชาชนสงบสุข มีกินมีใช้ไปตามสภาพของธรรมชาติที่สร้างสรรมา..คนทุกชาติก็ยินดีเข้าไปติดต่อซื้อขายลงทุนทำการงานได้แบบสบายใจ แม้รูปแบบสังคมนิยมของเวียตนามเป็นคอมฯ จนขณะนี้เวียตนามเจริญก้าวหน้าแบบจะก้าวกระโดดแล้ว ไม่ใช่เพราะ ปชช.ตามืดมัวหรือตาสว่าง หรือตื่นรู้ แต่เพราะผู้นำผู้ปกครองประเทศเขาต่างหากที่จะต้องตื่นรู้ ไม่ได้อยู่ที่ประชาชน