ช่วงเทศกาลสงกรานต์มีการแชร์ข้อความของนายพีระพันธุ์ สาลิรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลัง ว่า”ปีใหม่ไทยหรือวันสงกรานต์ประจำปี 2567 ผมมอบของขวัญให้พี่น้องประชาชนด้วยประกาศให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุนราคาน้ำมันในกรมธุรกิจพลังงานทราบทุกเดือน
เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การค้าน้ำมันยุคใหม่ในประเทศไทย ที่เริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ.2516 ที่มีการใช้อำนาจรัฐมนตรีประกาศให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งราคาต้นทุน…”
ข้อความที่แชร์ค่อนข้างยาวพรรณนาถึงความยากลำบากกว่าจะทำเรื่องแจ้งต้นทุนได้สำเร็จ พร้อมลงประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่องการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกน้ำมัน พ.ศ.2567
เปิดอ่านแค่คำขึ้นต้นว่ามอบของขวัญให้ประชาชน รู้สึกว่าพวกเราคงได้ใช้น้ำมันราคาถูกแล้ว แต่เมื่ออ่านครบถ้วนก็แค่ให้นายทุกน้ำมันแจ้งราคาต้นทุน้ำมันเท่านั้น
ทำให้นึกถึงข้อความที่นายพีระพันธุ์โพสต์ช่วงอวยพรปีใหม่ ถ้าใครได้อ่านจะเกิดความรู้สึกว่าถึงความกล้าที่จะชนกับกลุ่มทุนผูกขาดและกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ยึดกุมขุมทรัพย์พลังงานไว้ในมือ
ตอนหนึ่งโพสต์ว่า”ไม่ว่าจะภายใต้โครงสร้างพลังงานที่ถูกหรือผิด แต่ถ้าจะทำจริงทำได้ทั้งนั้น แต่วันนี้ลงมือทำดีกว่ารอไปก่อน อะไรที่เป็นทุกข์ของประชาชนในความรับผิดชอบของผม จะรื้อทิ้งให้หมด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เพื่อปลดพันธนการชีวิตจากค่าพลังงานที่ควบคุมไม่ได้
จะสร้างระบบพลังงานของประเทศขึ้นมาใหม่ ให้มีความเป็นธรรมอย่างยั่งยืน เพื่อคนไทยและประเทศไทย ตามนโยบาย “รื้อ ลด ปลด สร้าง” และแนวทางการทำงานแบบ สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง สิ่งที่เตรียมจะทำต่อให้ดีขึ้นในปี 2567 จะไม่ใช่แค่การปรับโครงสร้าง แต่จะรื้อระบบที่มีผู้ได้รับประโยชน์มหาศาลมายาวนาน ต่อไปผู้ที่จะได้ประโยชน์คือคนไทยและประเทศไทยเท่านั้น
เชื่อว่าการรื้อครั้งนี้ จะมีคนคัดค้านมากมาย เพราะผู้ที่เคยได้ประโยชน์แบบรากงอกต้องเสียประโยชน์มหาศาล คนเหล่านี้ที่ผ่านมาใช้ระบบสปอนเซอร์ เป็นเกราะคุ้มตัวตลอดมา แต่ผมไม่กลัวและจะทำ เพราะจะเป็นการรื้อเพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ประเทศและประชาชน”
ห้วงเวลานั้นบรรดาคอการเมืองต่างชื่นชมในความกล้าหาญของนายพีระพันธุ์ เพราะนับแต่ตั้งกระทรวงพลังงานมา ไม่เคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนไหนกล้าประกาศรื้อโครงสร้างราคาพลังที่เอื้อให้กับประชาชนทั้งประเทศ
ประชาชนต่างเชื่อมั่นว่านายพีระพันธุ์ทำได้ เพราะก่อนส่งท้ายปีเก่าเพียงแค่นายพีระพันธุ์แสดงอาการไม่พอใจว่าทำไมต้องประกาศปรับราคาน้ำมันขึ้นลงแบบรายวัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ลดลงทันที 2 บาท
ชาวบ้านดีใจกันได้เพียงแค่ระยะสั้นๆเพราะแค่มกราคมเดือนเดียว ราคาน้ำมันขยับขึ้นติดต่อกัน 2.30 บาท สูงกว่าที่ลดลง .30 บาทย่างเข้าสู้เดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายน ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูด ฉุดราคาสินค้าพุ่งตามไปด้วยสวนทางกับรายได้ของประชาชนที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง
ช่วงที่ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นแทบจะไม่เห็นท่าทีของนายพีระพันธุ์ ว่าหาแนวทางหยุดไม่ให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นได้อย่างไร ทั้งที่ช่วงปีใหม่ประกาศจะรื้อระบบโครงสร้าง พอถึงเวลาจริงๆกลับทำอะไรไม่ได้เลย
ทั้งที่ในความเป็นจริงช่วงเวลากว่า 3 เดือนที่คุยว่าจะลุย รื้อ ลด ปลด สร้าง ราคาพลังงาน ถ้ามีความเป็นนักบริหารมืออาชีพ มีความกล้าหาญในการตัดสินใจ สามารถที่จะบริหารจัดการรื้อระบบโครงสร้างราคาน้ำมันได้แบบเบ็ดเสร็จแล้ว ถึงขั้นระบุได้ว่าราคาหน้าปั๊มที่ขายให้กับประชาชนลิตรละเท่าใด
แต่จู่ๆพอถึงช่วงสงกรานต์มีข้อความประกาศว่ามอบของขวัญปีใหม่ไทยที่ในประวัติศาสตร์ 51 ปี ไม่เคยมีใครทำได้นั่นคือให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งราคาต้นทุนให้กรมธุรกิจพลังงานทราบทุกเดือน แถมพรรณนาถึงความยากลำบากกว่าจะให้นายทุนแจ้งราคาต้นทุนได้
ตลอดเวลากว่า 3 เดือนที่ชาวบ้านคาดหวังว่าปีใหม่ไทย คนไทยจะได้ใช้น้ำมันราคาถูกลง แต่นายพีระพันธุ์กลับทำได้แค่บอกให้ผู้ค้าแจงราคาต้นทุนเท่านั้น
ถ้ามองในเชิงบริหารถือว่าล้มเหลว เพราะห้วงเวลากว่า 3 เดือนสำหรับนักบริหารมืออาชีพ มีวิสัยทัศน์และกล้าหาญในการตัดสินใจที่จะรื้อระบบต่างๆ ทำได้ไม่อยากเลย
ที่คุยว่าจะ“รื้อ ลด ปลด สร้าง”ทำงานแบบสู้ทุกปัญหา แต่ผลงานออกมาแค่ให้บอกราคาต้นทุนเท่านั้น ดูแล้วจะเข้าทำนองพูดมากกว่าทำ?
ดังนั้นหากมีการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)ตามข่าวที่สะพัดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้า โดยนายกรัฐมนตรีบอกว่าปรับเพื่อใช้คนให้ถูกกับงาน กระทรวงพลังงานน่าจะเข้าข่ายที่นายกรัฐมนตรีต้องหาคนมาใช้ให้ถูกกับงาน !!!