นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นกรณีพรรคประชาธิปัตย์จะฟ้อง นายนคร มาฉิม อดีตส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ว่า เป็นสิทธิโดยชอบของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะฟ้องร้องต่อศาลหรือแจ้งความดำเนินคดีเพื่อปกป้องชื่อเสียงเกียรติภูมิ เพราะข้อกล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิดดำเนินการอย่างเป็นขบวนการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยวิธีการนอกแนวทางระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงและมีโทษร้ายแรงถึงขั้นยุบพรรค อีกทั้งนายนครเองก็ยืนยันว่าพร้อมจะนำพยานหลักฐานเข้าพิสูจน์ในชั้นศาล ซึ่งตนเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการรับรู้ของสาธารณชนถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของปัญหาการเมือง เพื่อจะได้ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงและหาทางแก้ไขปฏิรูปการเมืองให้ดีขึ้นต่อไปเนื่องจาก 10 ปีที่ผ่านมา
“ระบบการเมืองแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้นมีการทุจริตคอรัปชั่นกันมากมายในระยะหลังทำให้การต่อสู้ทางการเมืองเริ่มใช้วิธีการนอกลู่นอกรอยสร้างความแตกแยกแบ่งประชาชนเป็นฝักฝ่ายใช้ความรุนแรงประหัตประหารกันจนเกือบเกิดสงครามกลางเมือง ในที่สุดก็รักษาประชาธิปไตยไว้ไม่ได้เกิดการรัฐประหารในที่สุดเหมือนวงจรอุบาทก์เป็นเช่นนี้ 13 ครั้งตั้งแต่ ปี2475 เป็นต้นมา” นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการขอโทษอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของนายนคร มาฉิม เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล แต่เหตุผลที่นายนคร มาฉิม ยกขึ้นมานั้นเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว ที่เรียกว่า half truth เหมือนด้านเดียวของเหรียญ ซึ่งควรที่จะมีการพิสูจน์ความจริงในข้อกล่าวอ้างดังกล่าวจะในทางศาลหรือการชี้แจงข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่นายนคร ไม่กล่าวถึงคือปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นและการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลรวมทั้งการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมแบบสุดซอย เพื่อตนเองและพวกพ้องจนถูกสื่อมวลชนขนานนามว่าเป็นยุคโคตรโกงหรือโกงทั้งโคตรและเป็นสาเหตุข้ออ้างหนึ่งของการรัฐประหารในปี2549 และ2557 และนายนคร เองก็เคยร่วมคณะตรวจสอบการทุจริตที่ตนเป็นประธานในช่วงปี2545-2549 ย่อมทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร
“สำหรับ นายนคร นั้นโดยส่วนตัวรู้จักและเคยทำงานร่วมกันในพรรคประชาธิปัตย์และในสภาผู้แทนกว่า 10 ปี ถือว่าเป็นนักการเมืองที่ดีมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยยึดมั่นระบบรัฐสภาและต่อต้านเผด็จการชัดเจน ผมไม่รู้เหตุผลหรือเหตุจูงใจในการแสดงออกล่าสุดในครั้งนี้ แต่ในฐานะพี่อยากแนะนำน้องว่าอย่าเข้าพรรคเพื่อไทยมิฉะนั้นจะถูกมองว่าการแสดงออกล่าสุดเป็นเพียงใบเบิกทางตีตั๋วเข้าพรรคเพื่อไทยโดยเผาบ้านเก่าทิ้งเท่านั้น ควรเข้าพรรคอื่นที่มีอุดมการณ์ตรงกันจะดีต่ออนาคตทางการเมืองในวันข้างหน้า” นายอลงกรณ์ กล่าว