สัปดาห์นี้มีประเด็นข่าวเกี่ยวกับองค์กรตำรวจที่น่าสนใจอย่างน้อย 3 ข่าว
ข่าวแรก ตำรวจโรงพักอรัญประเทศ จ.สระแก้ว จับกุมนายปัญญาหรือ เปี๊ยก ฆ่าน.ส.บัวผัน ภรรยา ตำรวจนำตัวไปทำแผนประกอบคำสารภาพส่งเข้าเรือนจำ แต่คดีกลับตาลปัดเมื่อผู้สื่อข่าวช่องหนึ่ง แกะรอยจากกล้องวงจรพบว่าผู้ต้องหาเป็นวัยรุ่น 5 คน 1ใน 5 เป็นลูกชายนายตำรวจระดับรองสารวัตร
จนตำรวจโรงพักอรัญประเทศต้องกลับลำปล่อยนายเปี๊ยก ออกจากเรือนจำพร้อมจับกุมวัยรุ่นที่ก่อเหตุมาดำเนินคดี
กลายเป็นเด็นดราม่าระหว่างตำรวจกับสื่อมวลชน ว่าตำรวจหรือสื่อเจอกล้องวงจรปิดก่อนกัน จน พล.ต.อ.สรุเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.)ต้องบินด่วนไปเคลียร์คดี
จากนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอกับสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ด้วยการอธิบายว่าทาง ผกก.สภ.อรัญประเทศ มาเจอวงจรปิดแล้วเร่งสืบสวน แต่ไม่ได้รายงานผ่านสื่อให้ประชาชนทราบความเคลื่อนไหว
ขณะเดียวกันเกิดประเด็นดราม่าระหว่าง กรรชัย กำเนิดพลอย จากรายการโหนกระแส กับ
พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ทาง พล.ต.ท.สมประสงค์ตั้งคำถามว่าสื่อไปเอากล้องวงจรปิดจากเซเว่นอิเลฟเว่น ได้อย่างไรเพราะต้องขออนุญาต กรรชัยเลยสวนไปว่าสื่อได้กล้องวงจรปิดจากชาวบ้าน
ทั้งประเด็นของ พล.ต.อ.สุเชษฐ์และพล.ต.ท.สมประสงค์ ถูกชาวบ้านที่ติดตามข่าวต่างวิจารณ์ในทำนองว่าพูดแบบสีข้างเข้าถู ไร้ความน่าเชื่อถือ แต่ด้วยอาจจะทนแรงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ไหว พล.ต.ต.ออมสิน บุญญานุสนธ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว มีคำสั่งย้าย พ.ต.ท.พิชิต วัฒโน รองผกก.สส.สภ.อรัญประเทศ และพ.ต.อ.พิเชษฐ์ ศรีจันทร์ตรา ผกก.สภ.อรัญประเทศ ไปช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว พร้อมตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง
ผลการดำเนินคดีฆ่าน.ส.บัวผัน จะจบลงแบบไหน ตำรวจโรงพักอรัญประเทศ จะถูกดำเนินคดีฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและจะถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยกี่นายต้องติดตามดู แต่ผลพวงจากการปฏิบัติหน้าที่แบบสุกเอาเผากิน สะท้อนให้เห็นว่าระบบการทำงานบนโรงพักล้มเหลว เลือกปฏิบัติหวังช่วยเหลือลูกหลานตำรวจ จนชาวบ้านต้องรับกรรม
ข่าวที่ 2 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตรวจเยี่ยมโรงพักโคกขาม สมุทรสาคร มอบสิ่งของเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ตำรวจที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ พร้อมกับนโยบายตอนหนึ่งว่าที่ผ่านมาประชาชนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนคดีลัก วิ่ง ชิงปล้น ไปแจ้งความที่โรงพัก หลายคดีต้องใช้เวลาในการสืบสวน ตำรวจมีจำนวนจำกัดทั้งยังอีกหลายหน้าที่ แม้ทุกคนจะปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน แต่อาจตอบสนองไม่ได้รวดเร็วอย่างที่ประชาชนต้องการ หลายคนเลือกที่ฝากคดีกับผู้มีอำนาจ เพื่อให้กดดันการทำงานของตำรวจ
“จากนี้ไปขอฝากให้หัวหน้าสถานีตำรวจทั้ง 1,484 โรงพัก ปรับแผนการทำงาน ประกาศนโยบายขึ้นโรงพักไม่ต้องมีใครฝากมา หากดำเนินการได้รวดเร็วคดีค้างท่อตามโรงพักจะลดลง สร้างความพึงพอใจให้กับประชาชน”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ระบุ
ข่าวที่ 3 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ตรวจเยี่ยมโรงพักยกกระบัตร อ.สามเงา จ.ตาก โดยบอกว่ามาเยี่ยมบำรุงขวัญลูกน้องพร้อมกำชับแนวทางการทำงาน ดูแลความปลอดภัยของชาวบ้าน แก้ปัญหายาเสพติดทุกมิติ และดูแลสวัสดิการและขวัญกำลังใจของตำรวจ
“เวลาที่เหลือในตำแหน่งผบ.ตร.ไม่ถึง 261 วัน อยากออกไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจลูกน้องในโรงพักที่อยู่ห่างไกล เพื่อดูแลแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่อย่างทั่วถึงและเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับทุกพื้นที่”ผบ.ตร.ระบุ
ดังนั้นถ้าจับทั้งประเด็นมาวิเคราะห์จะเห็นความย้อนแย้ง ระหว่างการทำงานของตำรวจโรงพัก กับการเดินสายมอบนโยบายและปลอบขวัญของผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างประเด็นที่ พล.ต.อ.สุเรชษฐ์เน้นว่าขึ้นโรงพักไม่ต้องมีใครฝากมา ถ้าการตายของ ป้าบัวผัน บังเอิญญาติรู้จักกับผู้มีอำนาจขอฝากให้ตำรวจช่วยทำคดีอย่างตรงไปตรงมา การจับแพะอย่างลุงเปี๊ยกคงไม่เกิดขึ้น จนทำให้ตำรวจขาดความน่าเชื่อถือ หรือกรณีที่ พล.ต.องต่อศักดิ์ บอกว่าเหลือเวลาไม่ถึง 260 วัน จะออกตรวจเยี่ยมโรงพักให้มากที่สุด
อยากเห็นช่วงที่ตรวจเยี่ยมโรงพัก ควรฟังสภาพปัญหาการทำงานบนโรงพักอย่างตั้งใจไม่ใช่ไปเพียงแค่ลงบันทึกตรวจเยี่ยมแล้วสั่งอาหารจานเดียวมารับประทานถ่ายภาพออกสื่อ
จากนั้นนำปัญหาต่างๆมาประมวลจัดวางแนวทางการแก้ปัญหาการทำงานของโรงพักเพื่อสนองตอบความต้องการของประชาชนน่าจะดีกว่า เพราะการตรวจเยี่ยมแต่ละครั้งมีงบประมาณที่ต้องจ่าย อย่าให้สูญเปล่า จึงแต่หวังว่าเมื่อบิ๊กตำรวจให้นโยบายไปแล้วควรขันน็อตให้ตำรวจปฏิบัติจริง อย่าสักแต่ให้นโยบายแบบสร้างภาพ ถ้ากวดขันจริงกรณีจับแพะที่โรงพักอรัญประเทศ คงไม่เกิด !!!
”ในขณะเดียวกันเมื่อ ผบ.ตร. ผู้นำหน่วยออกมายืดแอ่นอก กล่าวถึงกรณีคดีป้าบัวผันที่ถูกกลุ่มวัยรุ่นลูกตำรวจทำร้ายเสียชีวิตโหดเหี้ยมและมีคลิปลุงเปี๊ยกถูกคลุมถุงดำบังคับรับสารภาพ ว่า กรณีดังกล่าว ตร. มีระเบียบทางปกครองอยู่แล้ว ในกรณีข้าราชการตำรวจกระทำผิด พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ปี 2565 กำหนดไว้ชัดเจน ประชาชนและสื่อบางสำนักบางคนอาจไม่ทราบว่าในการประชุม ก.ตร.ไดัมีมติลงโทษ ข้าราชการตำรวจมาตลอดในจำนวนไม่น้อย มีทั้งปลดออก ไล่ออก ติดคุก คดีอยู่ที่ ปปช.ก็มี ลงทัณฑ์ ภาคทัณฑ์ คดีอยู่ระหว่างการต่อสู่ชั้นศาล ถือได้ว่า ตร.เป็นหน่วยงานที่มีมาตราการเข้มกับตำรวจนอกรีต ยิ่งในยุคตนเป็น ผบ.ตร. จะสนับสนุนตำรวจที่ดีให้มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ แต่ตำรวจชั่วต้องหมดไป ยังมีคำสั่ง ตร.1212/2537 ที่มีบทลงโทษถึงระดับผู้บังคัญบัญชาระดับสูงขึ้นไป ฐานบกพร่องไม่กำกับดูแลผูัใต้บังบัญชาให้อยู่ในระเบียบวินัย
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขอเรียนให้สื่อโดยเฉพาะพี่น้องประชาชนอย่าได้กังวลต่อกรณีองค์กรตำรวจเป็นองค์กรเดียวที่ได้กระทำการเอาผิด ตำรวจชั่วมาลงโทษอย่างต่อเนื่องตลอดมา ถ้าเทียบกับองค์กรอื่น ให้กลับไปย้อนดูหลักฐาน จากการประชุม ก.ตร.ทุกครั้ง มีลงโทษหลายๆบทหนักเบาตามกรอบกฏหมายกำหนด เราไม่มีการปกป้อง โดยเฉพาะในยุคตน เจอจัดหนักหมด แต่ยืนยันว่าตำรวจดีๆยังมีอีกเยอะ เราต้องให้ความเป็นธรรมกับลูกน้องทุกนายเท่าเทียมกันทั้ง 2 แสนกว่านาย อย่างแน่นอน“
ซึ่ง“ประดู่แดง”เองเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะประชาชนทุกคนต่างคาดหวังว่าต่อจากนี้ไปจะไม่เห็นการทำคดีแบบนี้ ให้เกิดขึ้นอีกเพราะประชาชนจะหมดศรัทธา ต่อองค์กรตำรวจมากกว่านี้อย่างแน่นอน..!!