ห้วงเวลานี้รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน กำลังทำการตลาดสร้างภาพอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นการจัดฉลองสงกรานต์ ถูกยกให้เป็นมรดกโลก หรือทำอีเวนต์ซอฟต์พาวเวอร์
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สร้างความคึกคักให้คนในประเทศพอสมควร เพราะที่จัดล้วนแต่สร้างความบันเทิง โปรยยาหอมว่าเศรษฐกิจเฟื่อง นักท่องเที่ยวจะทะลักเข้าไทยสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจะเกิดขึ้นจริงตามที่โปรโมทหรือไม่ต้องติดตาม
แต่สิ่งคนไทยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ อยากให้รัฐบาลเร่งจัดการคงหนีไม่พ้น 2 นโยบายหลักคือ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เป็นเสมือนหนามตำใจของชาวบ้าน
นโยบายแรก การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด นายเศรษฐา ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ มีการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆขึ้นมาขับเคลื่อนไม่ว่าจะเป็น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสารธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
แต่ชุดนัดประชุมกันบ่อยมาก ขณะที่ฝ่ายปราบปรามมีการจับกุมอย่างต่อเนื่อง จับยาบ้าบิ๊กล็อตหลายล้านเม็ด ยาไอซ์กว่า 2 ตัน ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกันแบบชื่นมื่น ขณะที่รัฐบาลจัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่หนองบัวลำภู สัปดาห์ที่ผ่านมาถึงขั้นดันโครงการหนองบัวลำภูโมเดล เป็นต้นแบบป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นเพียงการสร้างภาพเท่านั้น เพราะนับแต่ นายเศรษฐา ประกาศให้การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติประชาชนในพื้นที่ไม่ได้เกิดความรู้สึกว่ายาเสพติดลดลงแต่อย่างใด ซ้ำร้ายเกิดข่าวขี้ยาหลอน ทำร้าย ฆ่าบุพการี ญาติพี่น้อง ประชานทั่วไป ปรากฏตามหน้าสื่อ ทุกวัน ที่อนาถใจหญิงชาวอ่างทองวัย 60 ปี สามีป่วยทางจิต ลูกสาวและลูกเขย ติดคุกคดียาเสพติด ต้องเลี้ยงหลานและสามี รับจ้างทำงานไม่ไหวไปรับยาบ้าเม็ดละ 20 บาท นั่งขายหน้าบ้านเม็ดละ 30 บาท
หรือกรณีชายวัย 28 ปี ขับรถบรรทุก 4 ล้อรับจ้าง คลั่งยาเจอตำรวจเรียกตรวจตกใจขับหนีชนรถชาวบ้านเสียหายกว่า 20 คัน ค้นในรถพบยาบ้า 3 เม็ด เหตุเกิดพื้นที่สมุทรปราการ นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างที่เกิดหลังจากรัฐบาลประกาศให้การปราบยาเป็นวาระแห่งชาติ
ขณะที่ชาวบ้านที่ลูกตกเป็นทาสยาเสพติดต่างคาดหวังว่านโยบายรัฐบาลจะเป็นจริง โดยเฉพาะการเอกซเรย์ในทุกชุมชนเพื่อคัดกรองบรรดาขี้ยาส่งเข้าบำบัด ต่างผิดหวังเพราะทางปฏิบัติยังไม่เกิดขึ้นแต่อย่างใด โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่ยาบ้าหาซื้อง่ายพอๆกับขนม
ดังนั้นนโยบายป้องกันและปราบยาเสพติด ขอฟันธงเลยว่าอืดมากไม่สมราคาที่คุยไว้ เพราะภาพที่ประชาชนเห็นและสัมผัสได้คือประชุม เพื่อประชุมต่อ เดินสายหารือต่างชาติเพื่อสร้างภาพ หรือแม้แต่หนองบัวลำภูโมเดล เชื่อว่าไม่เกิน 2 สัปดาห์ จะกลายเป็นแค่ความทรงจำ
นโยบายที่สอง การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่ได้แตกต่างกันนักเพราะหนักไปทางสร้างภาพเช่นกัน นายกรัฐมนตรี จัดประชุมร่วม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) ตำรวจไซเบอร์ กสทช.และผู้ให้บริการโทรศัพท์ ผลคือได้แค่ประชุม
เพราะทุกวันนี้ชาวบ้านยังต้องผจญอยู่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหมือนเดิม บางคนวันเดียวโดนโทรฯหา2-3 ครั้ง แม้จะบล็อกเบอร์ตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว ยังใช้เบอร์ใหม่โทรหาอีก จึงไม่แน่ใจว่า นายเศรษฐา และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีกระทรวงดีอี มีความมุ่งมั่นที่จะปราบปรามแค่ไหน เพราะแม้แต่นายเศรษฐาเองยังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรป่วน
ในห้วงเวลานี้หากจับความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในการปราบปราม ดูเหมือนจะเงียบสงบ ถึงขั้นเกียร์ว่างด้วยซ้ำ แม้จะมีข่าวจับกุมบ้างเป็นเพียงการสร้างภาพ พวกที่ถูกจับกุมมีเสียงครหาว่าส่งส่วยไม่ถึง เนื่องจากข่าวลือสะพัดว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ส่งส่วยเป็นกอบเป็นกำ พอๆกับแก๊งพนันออนไลน์
ซึ่งแนวทางการปราบปรามแก๊งคอนเซ็นเตอร์ช่วงที่ นายเศรษฐา รับตำแหน่งใหม่ๆได้เชิญบิ๊กตำรวจ ไปหารือ มีการเสนอว่าหากจะให้สำเร็จ นายกรัฐมนตรีต้องกำกับเองอย่างเข้มงวด พร้อมกับเสนอให้นายกรัฐมนตรีบินไปหารือและขอความร่วมมือกับ สมเด็จฮุนเซน ผู้นำกัมพูชา เพื่อจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้บรรลุผล
โดยให้ข้อมูลว่าหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ยึดกัมพูชาเป็นฐาน เพราะเจ้าหน้ารัฐของกัมพูชาคอยคุ้มครองและรับผลประโยชน์ ที่สำคัญแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ชาวกัมพูชา ทำให้ทางการกัมพูชาทำตัวแบบทองไม่รู้ร้อน ที่จับส่งให้ไทยนั้นเพราะจ่ายส่วยไม่ถึง
นอกจากนี้ยังแนะว่าเมื่อจับกุมได้แล้ว ต้องสาวต่อเพื่อตามเงินคืนให้เหยื่อบ้าง เพราะที่ผ่านมาไม่สามารถตามยึดเงินคืนได้เลย ข้อเสนอดังกล่าวนายกรัฐมนตรีรับฟังและรับจะดำเนินการ แต่จนถึงขณะยังไม่ดำเนินการใดๆเลย ซ้ำร้ายการปราบปรามเหมือนหยุดชะงัก ที่เขียนถึงเพื่อทวงถามว่าทั้งสองนโยบายนี้ รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน จะขับเคลื่อนอย่างจริงจังหรือไม่ เพราะเวลาผ่านมากว่า 3 เดือน ไม่เห็นความคืบหน้าเลย ที่เห็นชัดเจนคือประชุมเพื่อประชุม หลังประชุมแถลงข่าว แล้ววนมาประชุมใหม่
แม้ นายเศรษฐา จะเก่งการตลาดสร้างภาพให้ดูดี ไม่อยากให้สร้างภาพกับ 2 นโยบายนี้เลย เพราะปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดและการอาละวาดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นยิ่งกว่ามะเร็งร้าย สร้างความข่มขื่นให้กับผู้ตกเป็นเหยื่อ บางครอบครัวถึงขั้นล้มละลายและบางครอบครัวเหมือนตกนรกทั้งเป็น !!!