“รองฯต่าย”จ่อนำเทคโนโลยีพิเศษใช้ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ชี้ ขยายเวลาปิดผับถึงตี4 ยังเป็นแนวคิด-​ยันเล็งทบทวนคำสั่งเด้ง ระบุยังรอผลสอบ 10ตำรวจรับส่วยข้ามชาติ !!

336

วันที่ 6 พ.ย.66 ที่ บช.น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เดินทางมาตรวจเยี่ยมและรับฟังแนวทางการปฏิบัติราชการ ในสายงานป้องกันปราบปราม ของ บช.น. โดยมี พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา รอง ผบช.น., ผบก.น.1-9, ผบก.สปพ., ผบก.อก.บช.น., ผบก.อก.บช.ส. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องปารุสกวัน1/ทีมงานประชาสัมพันธ์ บช.น.

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่าวันนี้ต้องการมารับฟังข้อมูลงานป้องกันปราบปรามของตำรวจนครบาล เพื่อรวบรวมข้อมูลทำและจัดทำแผนในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม เช่น การป้องกันเด็กนักเรียนยกพวกตีกัน ซึ่งจะมีการนำเทคโนโลยีและบุคลากรที่มีความสามารถทางด้านไอทีมาทำงานใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น วิเคราะห์ทั้งการเตรียมการ สถานที่ก่อเหตุเพื่อวางแผนในการระงับยับยั้บไม่ให้เหตุเกิดขึ้น โดยคาดว่าภายใน1เดือนนี้จะกำหนดแนวทางการทำงานให้เสร็จสิ้นและเริ่มปฎิบัติการอย่างเข้มข้นในเดือน ธ.ค. เพื่อเดินหน้าป้องกันปราบปรามทั้งประเทศ

รองผบ.ตร.ยังกล่าวถึงกรณีที่ทางรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยมีนโยบายขยายเวลาเปิดสถานบริการ ในบางพื้นที่ (โซนนิ่ง) ไปจนถึงเวลา 04.00 น. ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศใช้ในวันที่ 15 ธันวาคมนี้นั้น เบื้องต้นเรื่องดังกล่าวยังเป็นเพียงแนวคิดที่อยู่ระหว่างการศึกษา เนื่องจากยังต้องผ่านการทำประชาพิจารณ์จากประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาการกำหนดโซนนิ่งก่อน หากมีความพร้อมก็อาจประกาศบังคับใช้ได้ในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ แต่หากยังไม่มีความพร้อมก็ต้องมาหารือร่วมกันอีกครั้ง แต่การบังคับใช้กฎหมายต่างๆยังคงเป็นไปตามเดิม และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พร้อมสนับสนุนกำลังในการรักษาความปลอดภัยและร่วมตรวจสอบสถานบริการต่างๆตามอำนาจหน้าที่และกำลังที่มี

รองผบ.ตร.ไม่เห็นด้วยคำสั่งเด้ง 5 เสือพื้นที่ทันทีหากถูกหน่วยงานนอกจับกุม แต่หากผลสอบพบผิดจริง ตำรวจหน่วยอื่นที่รับผิดชอบพื้นที่ต้องโดนด้วย

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  กล่าวถึงกรณีคำสั่งให้ ตำรวจ สภ.ช้างเผือกไปช่วยราชการทันที ภายหลังจากทุกฝ่ายปกครองจับกุมสถานบริการผิดกฎหมายในพื้นที่นั้น เนื่องจากต้องการให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เพราะที่ผ่านมาทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับต่างๆในพื้นที่ต้องรับผิดชอบกรณีที่บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ และมีหน่วยงานอื่น หรือหน่วยงานตำรวจส่วนกลางมาจับกุม สิ่งผิดกฎหมายที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ เช่น บ่อนการพนัน หรือสถานบริการ ด้วยการสั่งให้ไปช่วยราชการทันที พร้อมสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง

อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เตรียมให้ทบทวนคำสั่งการพิจารณาโยกย้ายดังกล่าว เพราะส่วนตัวมองว่าการโยกย้ายทันทีหลังเกิดเหตุจะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ไม่ได้ตอบโจทย์การแก้ปัญหา ทั้งยังทำให้ประสิทธิภาพของสถานีตำรวจนั้นด้อยลง เนื่องจากไม่มีคนทำงาน อีกทั้งยังต้องมีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่จากสถานีอื่นไปรักษาราชการแทน เป็นการเสียกำลังพลโดยใช่เหตุ  ซึ่งได้หารือในเรื่องดังกล่าว กับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาแนวทางให้มีความเหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และภารกิจของตำรวจที่เพิ่มขึ้นมาก โดยยืนยันว่าแนวคิดดังกล่าวไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้ตำรวจในพื้นที่ย่อหย่อนหรือได้ใจ แต่เป็นการสร้างขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน แต่หากกระทำผิดจริงก็ต้องรับโทษทางกฎหมายแน่นอน

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวถึง กรณี พล.ต.ต.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค6 (รรท. ผบช.ภ.6) ตั้ง3 นายตำรวจ ตรวจสอบข้อเท็จริงกรณีตำรวจระดับ ผบก.ถึงชั้นประทวนรวม 10 นาย เข้าไปเรียกรับผลประโยชน์ในประเทศเพื่อนบ้าน จนเป็นเหตุให้มีกระแสข่าวว่ามีการประกาศปิดพรมแดน 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 สร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชนชายแดนจำนวนมากว่า เรื่องดังกล่าว ได้รับรายงานแล้วและมีการหารือกับ พล.ต.ต.กิติศักดิ์ฯ รรท.ผบช.ภ.6 แล้ว โดยอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่านายตำรวจมีการเดินทางไปจริงหรือไม่และไปเรื่องอะไร และมีการขอเรียกเก็บผลประโยชน์ในอัตราที่สูงขึ้น และต่อรองราคาไม่ได้ โดยอ้างว่าเป็นนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ทั้งหมดต้องรอผลการตรวจสอบให้แล้วเสร็จก่อน ซึ่งมีขั้นตอนและกระบวนการตรวจสอบอยู่แล้ว พร้อมยืนยันแม้ว่าคณะกรรมการที่ตั้งมาตรวจสอบ, รรท.ผบช.ภ.6 และผู้ที่ถูกกล่าวหาจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจ หรือ นรต.รุ่นที่ 42 ทั้งหมดจะถูกมองว่าจะเกิดความโปร่งใสอย่างไรนั้น ยืนยันว่าทาง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ฯ ผบ.ตร.มีแนวทางชัดเจนว่าหากตำรวจนายใดกระทำความผิดในหน้าที่จะต้องรับโทษทางวินัยและอาญาเด็ดขาด แต่เมื่อผลสอบออกมาแล้วก็ต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

รอง ผบ.ตร.กล่าวว่าในส่วนของภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มักจะถูกมองในแง่ลบเพราะมีตำรวจกระทำผิดมากขึ้นจะย่ำแย่ลงไปหรือไม่นั้น ระบุว่า อย่าไปมองแบบนั้นเพราะ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)​แม้จะเพิ่งรับตำแหน่ง 1เดือน แต่ก็ได้นำเอาแนวคิดและนโยบายของ ผบ.ตร.คนเก่าๆมาใช้ และมีความคิดจะดูแลสวัสดิการตำรวจ ส่วเสริมเรื่องคุณธรรมและสนับสนุนการทำความดี ส่วนตำรวจที่กระทำความผิดก็มีบทลงโทษชัดเจนและเด็ดขาด อีกทั้งมองว่าอาจจะเป็นช่วงรอยต่อตั้งแต่เรื่อง พ.ร บ.ตำรวจใหม่ฯทั้งเรื่องการบริหารงาน ที่ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นต่อไป

#Thaitabloid #สำนักข่าวไทยแทบลอยด์