“รองฯโจ๊ก” นำทีมแถลงเปิดภาพวงจรปิดบ้าน ‘กำนันนก’ นาที ‘หน่อง’ ลั่นไกยิง” สารวัตรศิว” พบมีตำรวจช่วยคนเจ็บแค่5คน นายตำรวจระดับสูงเผ่นหนี เตรียมดำเนินคดี ม.157

เมื่อวันที่ 15 ก.ย 2566 เวลา 22.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวเปิดภาพจากกล้องวงจรปิด วินาทีเกิดเหตุการณ์ที่ นายหน่อง ลูกน้องของนายประวีณ จันทร์”คล้าย หรือ กำนันนก ใช้อาวุธปืนยิง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือ สารวัตรศิวจนเสียชีวิตระหว่างงานเลี้ยงภายในบ้านกำนันนก จว.นครปฐม

โดยทันทีที่เริ่มแถลงข่าว ตำรวจได้ภาพจากกล้องวงจรปิด พร้อมบรรยายเหตุการณ์เบื้องต้นด้วย ภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพวันเกิดเหตุ ช่วงท้ายโต๊ะยาวของงานเลี้ยง กล้องส่องไปที่โต๊ะ ส่วนอีกฝั่งที่ไม่เห็นภาพจะเป็นโต๊ะกลมหรือโต๊ะวีไอพี หลังเกิดเหตุมีการยิง มีการนำร่างสารวัตรศิว ออกจากที่เกิดเหตุ โดยมี ด.ต.สราวุธ , ด.ต.ชนาณัฐ และ พ.ต.ต.ณรงค์ ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ

จากนั้น จ.ส.ต.ทศพล แซ่อั้ง หรือ เค้ก พลขับของ สารวัตรศิว วิ่งไปเอารถของสารวัตรศิว ขณะที่ จ.ส.ต.เมหิศร พันธ์ศรีจันทร์ หรือ เจน ไปถอยรถแคมรี่ส่วนตัว เข้ามารับ สารวัตรศิวและ ในส่วนกล้องบริเวณลานจอดรถ ทางเข้าบ้าน ปรากฎภาพรถโตโยต้าแคมรี่ คันที่ปรากฎที่โรงพยาบาล ปรากฎว่า ตำรวจ 3 นาย นำร่างสารวัตรศิวขึ้นรถฝั่งด้านหน้าคนขับ ด้านหลังมี ด.ต.ชนาณัฐ คอยเอามืออุดรูกระสุนที่มีเลือดออกมา

ต่อมา ตำรวจ 4 นาย ประกอบด้วย ด.ต.สราวุธ , พ.ต.ต.ณรงค์ , ร.ต.ท.จตุรวิทย์ และ พ.ต.ท.ภทร เข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ซึ่งก็คือ พ.ต.ท.วศิน พันปี ที่ได้รับบาดเจ็บ โดย พ.ต.ต.ณรงค์ กระโดดขึ้นด้านหลังนั่งคู่ไปกับผู้บาดเจ็บ ส่วน ด.ต.สราวุธ เป็นคนขับ จากนั้นตำรวจอีก 2 นายนั่งอยู่ในรถ และจากนั้นรถก็ไปรากฎตามกล้องที่โรงพยาบาล(เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566)
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ภาพวงจรปิดที่นํามาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนในวันนี้เป็นเพียงบางส่วน ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีเจ้าหน้าที่ตํารวจเพียง 5 นาย ที่ช่วยเหลือสารวัตรศิวและรอง ผกก.วศิน ทําให้เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ตํารวจหลายนายให้การเท็จ ซึ่งเหตุการณ์ยิงในครั้งนี้คงไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น แต่พยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิดชัดเจนว่าหลังจากมีการโต้เถียงกัน เริ่มมีการเคลียร์คนแก่ออกจากพื้นที่และตระเตรียมรถยนต์เพื่อใช้หลบหนี ก่อนที่นายหน่องจะมีการพูดคุยกับกํานันนก หลังจากนั้นไม่นานจึงเกิดเสียงปืนรัวขึ้นถึง 7 นัด จากนั้นพบว่าลูกน้องกํานันนกมีการยืนคุมทุกจุดของที่เกิดเหตุ และมีเจ้าหน้าที่ตํารวจบางนายช่วยเหลือพากํานันนกหลบหนี อีกส่วนช่วยเหลือสารวัตรศิวและรอง ผกก.วศิน และอีกส่วนคือตํารวจระดับสูงที่ต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ซึ่งถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และไม่จับกุมทั้งที่เกิดเหตุซึ่งหน้า

ในส่วนของกล้องวงจรปิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ข้อเท็จริงในเรื่องนี้คือเซิร์ฟเวอร์มี 2 ตัว โดยมีกล้องวงจรปิดทั้งหมด 15 ตัว มี 13 ตัว สามารถกู้และเปิดดูได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างเช่นภาพที่นํามาเปิดให้ดูขณะช่วยเหลือผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล ซึ่งภาพมีความคมชัดและเห็นหน้าชัดเจนทุกคนทุกมุมกล้องว่าใครทําอะไรบ้างทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุยิง ส่วนกล้องวงจรปิดอีก 2 ตัว ที่พยายามกู้นั้น เจ้าหน้าที่ พฐ. ได้ทําการถอดบอร์ดออกมาดูแล้วผลปรากฏว่าเป็นกล้องที่ไม่ได้ใช้งานตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1 ตัว ส่วนอีก 1 ตัว กํานันนกเป็นคนไปปิดสวิตช์ ทําให้กล้องบันทึกภาพไว้แค่เวลา 10.16 น. ของวันเกิดเหตุทําให้ภาพหลังจากนั้นไม่มีการบันทึก ซึ่งน่าเสียดายเพราะกล้องตัวนี้เป็นมุมที่หันไปยังโต๊ะจีนที่น่าจะสามารถบันทึกภาพขณะยิงเอาไว้ได้ แต่อย่างไรก็ตามมีพยานในที่เกิดเหตุเป็นที่ประจักษ์ในการเอาผิดดําเนินคดีกับกํานันนกชัดเจนอยู่แล้ว

สําหรับชนวนการก่อเหตุในครั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า สารวัตรศิวเข้ามายังงานเลี้ยงไม่นานก็เกิดเหตุยิงขึ้น ซึ่งประเด็นหลักคือ กํานันนกไม่พอใจการทํางานของสารวัตรศิวที่กวดขันเรื่องรถบรรทุกนํ้าหนักเกินประกอบกับขอย้ายลูกน้องสารวัตรศิวก็ปฏิเสธส่วนประเด็นการดวลเหล้าแพ้นั้นเป็นเรื่องรอง
เบื้องต้นในวันนี้มีการดําเนินคดีกับผู้ต้องหาเพิ่ม 2 ราย คือ นายเด้งและนายต๋อง ลูกน้องของกํานันนก โดยนายต๋องนําปืนมาส่งให้นายเด้งก่อนเข้าไปในงานเลี้ยง เบื้องต้นมองว่าอาจจะไม่ได้เตรียมเพื่อนํามายิง แต่เตรียมเพราะรู้อยู่แล้วว่ากํานันนกมีปัญหากับสารวัตรศิวอยู่ ส่วนตํารวจในงาน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่าส่วนใหญ่พกอาวุธปืนติดตัวซึ่งเห็นได้ชัดจากกล้องวงจรปิด

ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวเพิ่มว่า วันพรุ่งนี้(16ก.ย.)จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาทั้งเจ้าหน้าที่ตํารวจและพลเรือน หลักๆจะเป็น ม.157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และให้การเท็จ รวมถึงหลังจากนี้จะมีการขยายผลต่อไปในเรื่องของการฮั้วประมูล เส้นทางการเงิน และการเลี่ยงภาษี หากพบกระทําความผิดก็จะดําเนินคดีและยคดอายัดทรัพย์สิน โดยในวันอังคารที่ 19 ก.ย. นี้ จะประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือแนวทางในการดําเนินงานต่อไป

