ร้าน”ข้าวแกง-ข้าวเหนียวหมูทอด”
 ตัวชี้วัด ศก.”คนชั้นกลาง-รากหญ้า”
                               

        การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของรัฐสภายังอยู่ในอาการลูกผีลูกคน แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย ที่แกนนำการันตีว่ายังเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน แต่ดูเหมือนว่าจะพูดกันไม่เต็มปากเต็มคำนัก


      เพราะมีขบวนการดิสเครดิตเตะตัดขาด้วยการกล่าวหานายเศรษฐา ว่าบริหารบริษัทไม่มีธรรมภิบาลออกมาเป็นระยะๆถึงขั้นต้องฟ้องดำเนินคดีกัน


     ขณะเดียวกันการเจรจาต่อรองของพรรคที่ถูกเชิญมาร่วมรัฐบาลก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้น ถึงขั้นขอแบ่งเค้กเก้าอี้รัฐมนตรีกันก่อน พูดง่ายๆก็คือขอจัดคณะรัฐมนตรีกันก่อนแล้วค่อยโหวตนายกรัฐมนตรี


  หากการแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรีกันไม่ลงตัว  การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่ประธานรัฐสภาวางไว้เป็นวันที่ 22 สิงหาคมนี้ อาจจะถูกลากยาวอีกก็ได้ และการเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อาจจะไม่ใช่นายเศรษฐาก็เป็นได้


 ถ้ามีการลากยาวเกิดขึ้นจริงเท่ากับปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังดิ่งเหวก็จะดิ่งหนัก เพราะถ้าจับสถานการณ์ในปัจจุบันพบว่าสินค้าอุปโภคบริโภคขยับขึ้นราคากันทั่วหน้า 


  โดยเฉพาะราคาน้ำมันหากย้อนดูสถิตินับแต่วันยุบสภาและเลือกตั้งเสร็จแล้ว ราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ขยับขึ้นประมาณลิตรละ 4-5 บาท ขณะที่ข้าวสารบรรจุถุงจ่อขยับพรวดเดียวถุงละ 10 บาท  

  ส่งผลให้ค่าครองชีพของประชาชนพุ่งตามไปด้วย แต่รายได้จากการขายแรงงาน รายได้ของมนุษย์เงินเดือนบริษัทเอกชนก็ยังเท่าเดิม

  “ปัญหาเหล่านี้ทั้ง ส.ส. ส.ว. นักการเมืองระดับต่างๆ รวมถึงข้าราชการ นายทุน จะไม่สึกว่ากระทบเพราะต่างมีเงินเดือนที่รัฐจ่าย นายทุนก็แสวงหากำไรได้มากขึ้น”

   ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รักษาการนายกรัฐมนตรี รวมถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็แสดงอาการเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไร้มาตรการที่จะช่วยเหลือ คิดเป็นแค่ขายสินค้าธงฟ้าและปล่อยรถพุ่มพวงเท่านั้น โดยอ้างว่าเป็นรัฐบาลรักษาการทำอะไรมากไม่ได้
 
     ” ถ้าหากส.ส.และส.ว.รวมถึงพวกเสนาบดี ออกเดินตลาดสดแบบไม่ต้องจัดฉาก จะได้เห็นถึงทุกข์ชาวบ้านว่าแร้นแค้นแค่ไหน พ่อค้าแม่ค้าก็ขายของฝืดเคือง”

    แม้แต่ร้านข้าวราดแกงหรือร้านขายข้าวเหนียวหมูทอด ไก่ย่าง หรือร้านอาหารข้างทางหรือใส่รถเข็นขาย เสมือนเป็นดัชนีชี้วัดความเป็นอยู่ของคนระดับกลางถึงรากหญ้า ต่างประสบปัญหาขายได้น้อย บางรายต้องเลิกเพราะทนรับสภาพขาดทุนต่อเนื่องไม่ไหว

  แม่ค้าข้าวแกงร้านหนึ่งย่านรามคำแหง เล่าว่าปกติจะทำอาหารขายอย่างน้อยวันละ 30 อย่าง มีทั้งนั่งกินในร้านและซื้อใส่ถุงกลับบ้าน ขายตั้งแต่ 10 โมงเช้าบ่าย 2 โมงก็หมดแล้ว ช่วงสถานการณ์โควิดหยุดขายระยะหนึ่ง เมื่อเปิดร้านก็ทำอาหารขายเท่าเดิมลูกค้าก็อุดหนุนเหมือนเดิม

   ขึ้นปี 2566 วัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหารราคาขยับสูงขึ้น ทางร้านไม่ได้ปรับราคาตาม แต่อาศัยขายจำนวนมาก พอผ่านปีใหม่มาได้ 1 เดือน ปรากฏว่าระยะเวลาการขายนานขึ้น แทนที่จะหมดบ่าย 2โมงก็ขยับมาเป็น 6 โมงเย็น อาหารถุงเหลือจำนวนมากต้องเก็บกลับบ้าน

   แม่ค้าคนเล่าอีกว่าได้ถามลูกค้าว่าทำไมซื้อน้อยลงจากเดิมซื้อ 3-5 ถุง กลับซื้อ1หรือ 2ถุง ปกติจะซื้อทุกวันก็มาซื้อวันเว้นวัน ลูกค้าบอกว่าของที่ใช้ประจำแพงขึ้นมากต้องประหยัด รายได้เท่าเดิมแต่รายจ่ายสูงขึ้น บางมื้อกินแกงเพียง 1 ถุงกับไข่เจียวหรือไข่ต้ม 2ฟอง 3ท้องก็อิ่มแล้ว  

   ขณะที่พ่อค้าหมูทอดละแวกเดียวกันบอกว่าปกติจะขายหมูทอดวันละ 15-20 กิโลกรัม ตั้งแต่7โมงเช้าถึงบ่าย 2 โมงก็หมดแล้ว ช่วงโควิดก็ไม่ค่อยกระทบเพราะส่งขายตามบ้าน เมื่อสถานการณ์ปกติก็มาเปิดร้านขายยอดขายปกติ แต่ช่วงต้นปี 2566 เป็นต้นมาจากเดิมขายหมดช่วงบ่าย 2 โมง ก็ขยับเวลามาเป็น 5 โมงเย็น บางวันขายไม่หมด ก็ลดจำนวนลงมาแค่ 10 กิโลกรัมก็ขายหมดแต่ต้องเวลาถึง 5 โมงเย็น เพราะลูกค้าซื้อน้อยลง จากเดิมซื้อคนละ 2-3 ขีดก็ลดลงมาขีดเดียวข้าวเหนียว 2 ห่อ

  นี่คื่อเสียงสะท้อนจากพ่อค้าแม่ค้าที่มีคนระดับกลางถึงระดับรากหญ้าเป็นลูกค้า


   หากได้สัมผัสกับพ่อค้าแม่ค้าตามตลาดนัดใกล้แฟลตหรือชุมชนที่มนุษย์เงินเดือน ลูกจ้างรายวันและผู้ใช้แรงงานอาศัยอยู่ จะพบสภาพทำมาค้าขายลำบาก  สินค้าประเภทอาหารจะขายได้มากกว่าสินค้าประเภทเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับ ตลาดนัดบางแห่งจากที่มีการจับจ่ายหนาแน่น กลับมีผู้ใช้บริการบางตา ร้านค้าที่ขายสินค้าไม่เกี่ยวกับปากท้องค่อยๆลดน้อยลงหรือบางร้านเลิกกิจการกลับบ้านนอกไปก็มี  
 
    ยิ่งส่องดูถึงสภาวะหนี้ของแต่ละครัวเรือน จากตัวเลขของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ หอการค้าไทยพบว่า

”ปี2566 หนี้ครัวเรือนขยายตัวร้อยละ 11.5 คิดเป็นมูลค่าหนี้ 559,408.-บาท/ครัวเรือน โดยร้อยละ80.2 เป็นหนี้ในระบบ และร้อยละ 19.8 เป็นหนี้นอกระบบ และคาดว่าจะพุ่งสูงในปี 2567 เนื่องจากเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง ยังไม่มีความแน่นอน ทำให้ไม่มีเงินเพียงพอในการชำระหนี้และอาจจะก่อหนี้เพิ่มเพื่อประคองตัว…..”

  นี่คือตัวอย่างความยากลำบากที่เกิดขึ้นจริงที่ชาวบ้านต่างตั้งตารอรัฐบาลใหม่มาเยียวยาและแก้ไข
 จึงได้แต่หวังว่าไม่เกินสิ้นเดือนสิงหาคมนี้มหกรรมฟัดกันเพื่อแย่งกระดูกคงจบ และประชาชนคงได้เห็นโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ แม้จะบิดเบี้ยววนอยู่ในวงจรอุบาทว์เหมือนเดิมก็ยังดีกว่ารัฐบาลรักษาการที่ยืนคอยแต่ปัดสวะให้พ้นตัว !!! 

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img