ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. กล่าวผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ประจำวันที่ (22 มิ.ย.) โดยระบุในตอนหนึ่งว่า ตนขอน้อมนำพระบรมราโชวาท ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานไว้ เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับในเรื่องของ “การปิดทองหลังพระ” ซึ่งในใจความตอนหนึ่งว่า “…การทำงานด้วยใจรัก ต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ แม้จะไม่มีใครรู้ ใครเห็น ก็ไม่น่าวิตก เพราะผลสำเร็จนั้น จะเป็นประจักษ์พยานที่มั่นคง…” ที่ต้องนำมากล่าวในวันนี้ เนื่องจากจะบอกว่า ระยะเวลา 4 ปีของ คสช. ที่บริหารราชการแผ่ดินมา สามารถนำ “ความสุขคืนสู่ปวงชนชาวไทย” ได้ตามที่มุ่งหวัง และตั้งใจไว้ในช่วงแรกที่มาของ คสช. อาจไม่เป็นที่ยอมรับจากนานาอารยประเทศ ถึงแม้ว่าจะไม่ 100% ก็ตาม แต่ในวันนี้ รัฐบาล และ คสช. ได้พยายามพิสูจน์ ให้เห็นถึงความจริงใจอันบริสุทธิ์
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ผลงานที่ผ่านมา ไม่ได้สำเร็จทั้งหมด ก็เป็นธรรมดาของการทำงานที่จะต้องมีอุปสรรค แต่ต้องได้รับการยอมรับทั้งจากประชาชนของเราเอง จากประชาคมโลกในที่สุด ทองเนื้อเก้าที่รัฐบาล และ คสช. เพียรติดหลังองค์พระ บัดนี้ได้ล้นมาข้างหน้า จนประชาคมโลกได้ประจักษ์ ที่ผ่านมาผมได้รับเชิญให้ไปเยือนญี่ปุ่น จีน รัสเซียสหรัฐอเมริกา และอินเดีย อย่างเป็นทางการ ด้วยความเชื่อมั่น ไว้ใจ และจริงใจต่อกัน และวันนี้ภายหลังจากที่สหภาพยุโรป มีมติข้อผ่อนปรนให้แก่ประเทศไทยของเรา ได้เปิดโอกาสให้เราสามารถเดินหน้าสานต่อความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ได้ ก่อนที่ผมจะเล่าให้ฟังว่าบ้านเมืองของเรา และพวกเราทุกคน จะได้รับประโยชน์ จากการเยือนครั้งนี้ อย่างเป็นทางการอย่างไรบ้าง ผมขอเริ่มจากทบทวน “เส้นทางสู่ความสำเร็จร่วมกัน” ของรัฐบาลและ คสช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความร่วมมือ ร่วมใจ ของพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกระดับ คงยังจำกันได้ว่า ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ในขณะที่สังคมไทยมีความแตกแยก รัฐบาลไร้เสถียรภาพ ย่อมส่งผลต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ในการที่จะกำหนดจุดยืนของเราในเวทีโลก และ ที่สำคัญคือ เราไม่มียุทธศาสตร์ชาติระยะยาว ที่จะคิดคำนึงถึง การสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศพันธมิตร ไปจนถึงประเทศหมู่เกาะ หรือประเทศที่อยู่ห่างไกล โดยเฉพาะมิติการค้า และการลงทุนที่จะช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงตลาด จากผลผลิตของเรา ที่จะทำให้พี่น้องเกษตรกร รวมทั้งผู้ประกอบการ SMEs ของเรา ขายสินค้าได้ดีขึ้น ได้มากขึ้น
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ในทางกลับกัน เรากลับปล่อยให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกับประเทศรอบบ้านเป็นระยะ ๆ ปัญหาการไม่สามารถทำตามมาตรฐานสากลได้นั้น ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราสูญเสียโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพของประเทศได้อย่างเต็มที่ เมื่อ รัฐบาลและ คสช. เข้ามานั้น ได้วางแผนงานเพื่อจะปฏิรูปและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งการวางรากฐาน ที่แข็งแรงสำหรับการพัฒนาของประเทศ และสามารถดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง สร้างความโดดเด่นในเวทีระหว่างประเทศ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมผลประโยชน์ของคนไทยในทุกมิติปัจจุบัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ตนอยากจะกล่าวว่า ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านของเราอยู่ในระดับ “ดีเยี่ยมที่สุด” ในรอบหลายปี ชายแดนสงบสุข มีการเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มขึ้น ทั้งกับเมียนม่า และกัมพูชา เปิดโอกาสให้ประชาชนไปมาหาสู่กันมากขึ้น การค้าขายตามแนวชายแดนขยายตัวมากขึ้น โดยในปี 2560 นั้น มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน มีมูลค่ารวม 1,000 กว่าล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 6 จากปี 2559 ไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้นกว่า 2 แสนล้านบาท
“นอกจากนี้ แม้ว่าบริบทการต่างประเทศจะมีการแข่งขันกันสูงมากในปัจจุบัน แต่เราก็สามารถดำเนินนโยบายต่างประเทศได้อย่างสมดุล โดยมีปฏิสัมพันธ์กับนานาประเทศทั่วโลก สะท้อนให้เห็นว่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานั้นรัฐบาลได้ฟื้นฟูเกียรติภูมิของประเทศ ให้รอดพ้นจากสภาวะ “รัฐล้มเหลว” เป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก เพิ่มมาโดยลำดับ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว