กลิ่นความเจริญ กลิ่นไม่พึงประสงค์ ของพวกที่ไม่เคยมาจากประชาชน

ธรรมดาสากลหลายประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก หลังเลือกตั้งเสร็จเขาต้องรู้แล้วว่าใครจะเป็นรัฐบาลใครจะเป็นประธานาธิบดี ใครเป็นนายกฯ ใครเป็นผู้นำ หากยึดมั่นหลักการเหล่านี้ ไม่มีทางเลยที่ประเทศเราจะ ลากยาวมหากาพย์เลือกตั้งมาแล้วเกือบ 3 เดือนแต่ยังไม่รู้ใครจะเป็นผู้นำ ทั้งที่ประชาชนสะท้อนชัดๆผ่านผลการเข้าคูหาแล้ว

“ความผิดปกตินี้พอจะอนุมานได้ว่า มีใครบางคน บางกลุ่มไม่พร้อมให้คนที่ประชาชนเลือก เข้ามาทำหน้าที่อย่างสมเกียรติตามที่ประชาชนต้องการ  ราวกับว่าประเทศนี้ประชาชนไม่มีความหมาย และปล่อยให้เลือกตั้งไปงั้นๆ”

ซึ่งคำถามที่ไม่ควรปรากฎในยุคสมัยนี้ในสังคมไทยนั่นคือ “แล้วจะเลือกตั้งกันไปทำไม” ในเมื่อสะท้อนผลชัดแต่คนที่ไม่ได้มาจากประชาชน กลับหาทางสกัดทุกวิถีทุกทาง “บิด” + “ตะแบง” จนเสียงประชาชน “ไร้ความหมาย”


งบการเลือกตั้งหลายพันล้าน กับการพร้อมใจออกมาใช้สิทธิครั้งประวัติศาสตร์ของประชาชนหลายสิบล้าน กลับกลายเป็นพิธีกรรมเพื่อบอกชาวโลกว่า อ่ะ ประเทศเราเลือกตั้งแล้วนะ จะหาว่าเป็นยุคเผด็จการแฝงไม่ได้ แค่นั้น หรือ

ตกลงแล้วประเทศนี้ประชาชนยังมีความหมายอยู่หรือไม่ก็เริ่มไม่แน่ใจ เมื่อมีการใช้สารพัดเครื่องมือและกลไกเข้ามาด้อยค่าทำให้เสียงของประชาชนค่อยๆหมดความหมาย และใช้การรัฐประหารเงียบผ่านกติกาและการควบคุมองค์กรอิสระ รวมถึงสว.250คนที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมใดๆแต่ต้องจ่ายภาษีให้พวกเขาเหล่านั้นทุกเดือนๆ ตลอด5ปี ถ้าเฉลี่ยเงินเดือนละแสน มีคนได้เงินจากประชาชนไปในตลอด5ปีคือคนละ5ล้านบาท ออกมาชี้ว่าห้ามนั่นห้ามนี่เต็มไปหมด ออกมาตั้งแง่กำหนดเงื่อนไข ทำยังไงให้คนประชาชนเลือกมา ตกม้า และมัตราสังข์บางคนบางพรรคให้ได้

หากใช้ใจเป็นธรรม นั่งรำลึกดีๆ คนเหล่านี้มักได้ดีจากยุคที่บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ไปสำรวจดีๆ ย้อนไปตั้งแต่รัฐประหาร 2549 มาจนถึง 2557 ชื่อคนเป็น สนช. / สว.แต่งตั้ง มันจะวนๆในเครือข่ายไม่กี่กลุ่มจะมีคนที่เป็นมันทุกสมัยทุกรอบ ซึ่งไม่เคยยึดโยงใดๆกับภาคประชาชนเลยแม้แต่น้อย แต่ได้ภาษีจากประชาชนตลอด

ดังนั้น “การเลือกตั้ง” มันเลยเป็นเหมือนของแสลงของบ้านเมืองนี้ ที่ประชาชนควบคุมไม่ได้ ห้ามไม่ได้ทั้งอำนาจรัฐ การข่าวไอโอ กอ.รมน. กลไกท้องถิ่น ตลอดจนหลายคนหลายฝ่ายจับมือกันย้ำบางฝ่ายบางคน ก็เปลี่ยนแปลงผลเลือกตั้งไม่ได้

ประกอบกับการทอดสายตามองรอบประเทศเพื่อนบ้าน ทุกวันนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วพม่า-กัมพูชา เป็นไอดอลเรา หรือเราเป็นไอดอลเขาในภูมิภาคนี้ เรากำลังติดกับดักประเทศกำลังพัฒนาไปชั่วอายุคนกระมัง

ตามที่กล่าวไปในข้างต้นประชาชนสะท้อนผลเลือกตั้งมาแล้วโดยชัดเจนว่า “ไม่เอาขั้วเก่า” ไม่เอารัฐบาลที่เคยบริหารมาในทุกวันนี้ เอาคะแนนมาบวกกันเท่าไหร่ก็ไม่ถึงครึ่งทั้งจำนวน สส.และ จำนวนของประชาชน ดังนั้นหากมีใครบางคนหรือบางพรรค คิดจะไปจับมือกับคนขั้วเก่า ที่ประชาชนไม่ได้เลือกมาให้เป็นเสียงส่วนใหญ่ ไม่ว่าใช้ข้ออ้างใดๆก็ตาม ล้วนฟังไม่ขึ้น ที่สำคัญภาพที่เราไม่อยากเห็นคือการผสมพันธุ์ ข้ามขั้ว ทำลายเสียงประชาชนจนหมดความหมายให้ระวังเอาไว้ว่าอนาคตประชาชนจะไม่ให้โอกาสอีก

เพราะทุกวันนี้การเมืองเก่ายังคงคิดว่าวิธีเก่าๆ ได้ผลลัพธ์แบบเก่าๆ คิดว่าจะทำให้เขาเข้าสู่อำนาจและครองใจประชาชนได้ อาจต้องคิดใหม่ คิดให้ดี ว่าวิธีเหล่านี้กับหลักการอะไรสำคัญกว่ากัน สถานการณ์การเมืองไทยถ้ายึดหลักการแบบบ้านเมืองที่เป็นสากล ประชาชนแฮปปี้ การแข่งขันที่เป็นธรรม รอ4ปี ไม่ดีเลือกใหม่ถ้าทำได้แบบนี้ ไม่มีอำนาจมืด สถานการณ์พิเศษบ้านเมืองเราคงเจริญไปนานแล้ว ไม่ติดหล่ม จมกับกับดักที่มีคนอยากให้ประเทศไม่ไปไหน สาละวนอยู่แบบนี้ สงสัยกลิ่นประชาธิปไตย กลิ่นความเจริญอาจเป็นของแสลงสำหรับคนบางพวกบางกลุ่มก็เป็นได้

แต่จำเอาไว้ ตราบใดที่สมการไหนๆ ไม่มีประชาชนอยู่ในนั้น ไม่มีวันที่พวกคุณจะสมหวัง สมดังใจ เป็นแน่แม้ว่าคุณจะกุมอะไรได้ จะดีลอะไรได้ แต่ไม่มีวันกุมหัวใจประชาชนเลย!

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img