“ระวังสูตร”ฝนตกขี้หมูไหล…”

     13 กรกฎาคม 2566 คงต้องลุ้นด้วยความระทึกว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล จะได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภาให้นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หรือไม่ ?


               แม้จะมี 8 พรรคร่วมรัฐบาลยืนยันว่าจะเทคะแนนเสียงให้ครบ 312 เสียง แต่ยังต้องการเสียงอีก 64 เสียง เพื่อให้ครบ 376 เสียง
               ครั้นจะหันไปพึ่งเสียงจากพรรครัฐบาลเก่าก็ดูมืดมน
              ทั้งที่ส.ส.เหล่านี้ควรจะจับกันขจัดอำนาจเผด็จให้หลุดพ้นจากวงจรอำนาจ แต่กลับยังยืนกระต่ายขาเดียวว่าจะไม่โหวตให้นายพิธา โดยอ้างว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 112

              แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่มีนายชวน หลีกภัย เป็นผู้กุมอำนาจตัวจริง และทุกครั้งที่ขึ้นเวทีปราศรัยปากจะบอกกับประชาชนเสมอว่าชิงชังผด็จการทหาร ก็ยังแสดงอาการว่าจะไม่โหวตให้พร้อมกับเลี่ยงไปตอบว่าเป็นเรื่องภายในพรรคไม่ควรก้าวก่ายกัน
           เมื่อมาจับอาการของสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)ก็มืดมนยิ่งกว่า เพราะมีกระแสข่าวว่า ส.ว. 90 เปอร์เซ็นจะไม่โหวตให้พร้อมแสดงจุดยืนจะงดออกเสียง
          ขณะที่ส.ว.บางคนโชว์กึ๋นเหมือนกับประชาชนทั้งประเทศมีหัวไว้กั้นหูหรือกินหญ้ามากกว่ากินข้าว โดยอธิบายถึงประเด็นที่พรรคก้าวไกลเคยประกาศจะต้องปิดสวิตช์ส.ว.ว่าเมื่อจะปิดสวิตช์ส.ว.ก็ทำตามแล้วไงคืองดออกเสียง
         ทำให้เกิดความรู้สึกว่าการตีความในลักษณะนี้ไม่ควรมาจากสมองของผู้ที่อ้างว่าอยู่ในสภาสูง เพราะเป็นลักษณะสีข้างเข้าถู ประเภทศรีธนญชัย
        ขณะที่ส.ว.บางคนบางกลุ่มก็ยืนยันว่าจะโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่จะต้องไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล
        ในส่วนของ ส.ว.ที่มาโดยตำแหน่ง คือผู้บัญชาการเหล่าทัพและปลัดกระทรวงกลาโหม ก็ออกโชว์จุดยืนตั้งแต่ต้นว่างดออกเสียง เพราะกลัวเสียความเป็นกลาง ก็มีคำถามว่าสมัยที่โหวตให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร ไม่กลัวเสียความเป็นกลางหรือ ?
         เมื่อจับความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่ดับฝัน”พิธา” ก็พอประเมินได้ว่าเส้นทางสู่ทำเนียบรัฐบาลของ”พิธา”ก็ก้าวห่างออกไปเรื่อยๆ
     แม้แกนนำพรรคก้าวไกลบางคนจะยืนยันว่ากลุ่มส.ว.จะกดไฟเขียวให้ ก็เป็นการคาดหวังแบบไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำหนัก
    ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่”พิธา”เดินสายพบมวลชนและแฟนคลับเกือบทั่วประเทศพร้อมประกาศจะขอนั่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ให้ได้
      ถ้ามองตามเกมก็คือก้าวไกลกำลังใช้มวลชนเป็นหลังผิง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะก้าวไกลมีฐานที่มั่นเดียวคือประชาชน    
      ซึ่งแตกต่างกับพล.อ.ประยุทธ์ สมัยถูกโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2562 มีทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม กลุ่มทุนผูกขาด กองทัพและส.ว.เป็นกำแพงโอบอุ้ม โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งมวลชน
       จึงไม่แปลกอีกเช่นกันที่ นักการเมืองฝั่งรัฐบาลเก่า รวมถึงนักวิชาการฝ่ายอนุรักษ์ และสื่อสายเหลือง จะวิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรคก้าวไกลและนายพิธา กำลังดึงมวลชนมากดดันส.ว.และหากไม่ได้รับเลือกก็จะดึงมวลชนลงถนนสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมือง
      แต่ถ้าจับกระแสข่าวถึงความเคลื่อนไหวในการจัดตั้งรัฐบาลแล้วก็พอจับเค้าได้ว่าโอกาสของ”พิธา”มีไม่ถึง 50 เปอร์เซ็น เพียงแค่เดินเกมเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรก็พลาดพลั้งไปแล้ว
      เพราะข่าวลือสะพัดว่าที่ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา มานั่งประธานรัฐสภาก็เป็นทางออกที่ผู้มากบารมีในพรรคเพื่อไทย กำหนดเอง
      ดังนั้นเมื่อถึงวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 13 กรกฎาคม ก็พอเดาทางออกว่า นายพิธา คงผ่านลำบากและอาจจะโหวตเพียงครั้งเดียวแล้วเกมการเมืองพลิกผันให้พรรคเพื่อไทยยืนหนึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้วเดินหน้าเจรจากับพรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ ชาติไทยพัฒนา ประชาชาติ ไทยสร้างไทย ชาติพัฒนากล้า และพรรคเล็กๆ ร่วมกันจัดต่างรัฐบาลก็เป็นได้
      โดยยกเหตุผลที่พวกส.ว.บางกลุ่มบอกว่าพรรคไหนก็ได้เป็นรัฐบาลพร้อมโหวตหนุน แต่ต้องไม่มีก้าวไกล เท่ากับดันก้าวไกลไปเป็นค้าน  
      หมากเกมนี้มีการประเมินว่าวางกันมาตั้งแต่ต้นแล้ว
        ซึ่งมีสัญญาณพอจะจับเค้าได้ตั้งแต่พรรคเพื่อไทย ดึงกลุ่มสามมิตรอย่าง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจและนายสุชาติ ตันเจริญ เข้าพรรคเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าทั้ง 3 คน มีสัมพันธ์แนบแน่นกับนักการเมืองกลุ่มเก่าเกือบทุกพรรค
      ดังนั้นคงได้แต่หวังว่าการโหวตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”คงผ่านฉลุย แต่ถ้าไม่ผ่านก็คงได้เห็นการจัดตั้งรัฐบาลสูตร”ฝนตกขี้หมูไหล……….”แน่นอน!!!

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img