เชื้อชั่วไม่มีวันตาย(1)
พลันที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล หยิบประเด็นสติ๊กเกอร์ส่วยทางหลวงออกมาประจานให้สังคมทราบถึงการทุจริตของเจ้าหน้ารัฐ

มีเสียงขานรับจากประชาชนและบรรดาผู้ประกอบการขนส่งรถบรรทุกอย่างกว้างขวาง บางกลุ่มถึงขั้นเดินทางมายื่นหนังสือพร้อมเฉพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐให้นายวิโรจน์ รับทราบและให้ช่วยดำเนินการปราบปรามด้วย
ขณะเดียวกันก็มีเสียงเหน็บแนมจากกลุ่มที่ไม่ปลื้มพรรคก้าวไกลว่าใช้อำนาจอะไรจะมาปราบปราม ก็ถูก”วิโรจน์”สวนกลับไปว่า”ทำในฐานะประชาชนเพราะ9 ปีที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย ประเทศชาติเสียหายปีละกว่า 12,000.-ล้านบาท”
หากมองถึงความเป็นจริงแล้วสติ๊กเกอร์ส่วยทางหลวงเกาะกินสังคมไทยมายาวนานหลายทศวรรษแล้ว การปราบปรามก็ดำเนินไปแบบไหม้ฟาง
เพราะการดำรงอยู่ของสติ๊กส่วยทางหลวงหรือส่วยรูปแบบอื่นๆ จะเป็นไปในลักษณะไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ใครก็ตามที่มีบทบาททางสังคมเมื่อหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเคลื่อนไหวก็จะกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงขึ้นมาทันที
“ในอดีตถ้านายตำรวจคนไหนอยากจะโชว์บทบาทตงฉิน แค่หยิบปัญหานี้ขึ้นมาเคลื่อนไหวไล่จับรถบรรทุกโชว์สื่อก็สร้างผลงานให้ดูดีได้แล้ว แต่ไม่เกิน 2 สัปดาห์ก็จะเงียบหายไปกับสายลม”
เพราะส่วยทางหลวงหรือส่วยรถบรรทุก จะเอื้อประโยชน์ให้กับบรรดาบิ๊กๆในหลายวงการ ทั้ง ตำรวจ กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวง ผู้ประกอบการรถบรรทุก ผู้รับเหมาซ่อมถนน รวมถึงบรรดาเทศกิจและนักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น
เพราะโดยบริบทของสติ๊กเกอร์ส่วยทางหลวง เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐใช้ช่วงโหว่ของกฎหมายไปหาประโยชน์กับผู้ประกอบการขนส่ง
โดยมุ่งเน้นที่การบรรทุกน้ำหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนด ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการบรรทุกสินค้าได้มากขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น แล้วแบ่งส่วนเกินเป็นเศษเงินให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ
ผู้ประกอบการบางแห่งก็ก่อตั้งเป็นสมาพันธ์หรือสมาคมฯ เพื่อง่ายต่อจ่ายส่วยและไม่ต้องเสียเวลากับถูกเจ้าหน้ารัฐจับกุม
เมื่อผู้ประกอบการกับเจ้าหน้าที่รัฐจับมือกันความบรรลัยก็จะมาเกิดกับประชาชนผู้บริโภครวมถึงถนนหนทางชำรุดเร็วกว่าปกติ
ขอยกตัวอย่างง่ายๆถึงความบรรลัยที่เกิดขึ้น คือ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ต้องการถมที่ดินเพื่อสร้างบ้าน จะต้องจ่ายราคาดินที่จะถมสูงกว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด
เพราะดินที่รถบรรทุกต้องทุกผ่านหลายพื้นที่ เช่น ถ้าผู้ประกอบการรถบรรทุกมีบ่อดินอยู่ในพื้นที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา เส้นทางที่ต้องบรรทุกผ่าน อาทิสภ.บางน้ำเปรี้ยว สน.สุวินทวงศ์ สน.หนองจอก สน.ลำผักชี สน.มีนบุรี และตำรวจทางหลวง รวมถึงเจ้าหน้าที่ขนส่งฯ และนักการเมืองท้องถิ่นที่กุมอำนาจบริหาร
ขณะเดียวกันเมื่อรถบรรทุกดินวิ่งเข้าสู่เขตกรุงเทพฯก็จะมีเจ้าหน้าที่เทศกิจ คอยกวดขันความสะอาด ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ผู้ประกอบการจะต้องใช้ปัจจัยเคลียร์เส้นทางกับเจ้าหน้าที่เหล่านั้น
“บางช่วงเวลาในพื้นที่นครบาลก็จะมีตำรวจสายตรวจปฎิบัติการพิเศษหรือตำรวจ 191 มาร่วมแจมด้วย ซึ่งผู้ประกอบเคยตั้งฉายาว่าพวกหมาดำ”
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้คือต้นทุนที่ผู้ประกอบการได้บวกเข้ากับราคาดินที่จะขายให้กับชาวบ้านไปแล้ว ทั้งที่เป็นต้นทุนที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำถ้าเจ้าหน้าที่รัฐปฎิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมา
นี่คือความบรรลัยที่ชาวบ้านผู้บริโภคแบกรับมาโดยตลอดถามว่าบรรดาบิ๊กตำรวจ รู้หรือไม่ว่าส่วยเหล่านี้เกิดขึ้นและกัดกินสังคมไทยมานานแล้ว ก็ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่ารู้อยู่เต็มอก
เพราะในแวดวงสีกากีต่างทราบกันดีว่า ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง หรือผู้บังคับกาตำรวจจราจร ล้วนเป็นสายตรงของ อ.ตร.หรือ ผบ.ตร.ทั้งสิ้น เพราะมันคือแหล่งผลประโยชน์ที่รับมากกว่าจ่ายและส่งกันตามลำดับชั้น
ซึ่งสติ๊กเกอร์ส่วยทางหลวงหรือส่วยขนส่งมีความพยายามผลักดันและแก้ปัญหาเกี่ยวกับบรรทุกน้ำหนักเกินมาบ่อยครั้ง
ที่เห็นเป็นรูปธรรมที่สุดในยุคที่ นายเสนาะ เทียนทอง เป็นรัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทยและกรมตำรวจยังขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทย มีการแก้กฎหมายเกี่ยวกับน้ำหนักบรรทุกจาก 26 ตันเป็น 28 ตัน จนนายเสนาะได้ฉายาว่า”เหนาะ28ตัน” ช่วงนั้นมีการกวดขันจับกุมกันเป็นพิเศษ
แต่เมื่อเวลาทอดยาวไปทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม เมื่อพรรคก้าวไกลคิดจะปราบปรามส่วยในรูปแบบต่างๆก็คงต้องทำการบ้านให้หนัก
เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบได้กับ”เชื้อชั่วที่ไม่มีวันตาย” !!!


