ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในงานเสวนาหัวข้อ “อนาคตประชาธิปไตยไทย ข้ามพ้นกับดักความหวัง” เนื่องในโอกาสครบรอบ 69 ปี การสถาปนาคณะรัฐศาสตร์ ได้มีนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ร่วมเสวนา โดยมี รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ดำเนินรายการ
เมื่อผู้ดำเนินรายการตั้งคำถามว่า “อะไรกับดักของประชาธิปไตย?”
นายธนาธร กล่าวในตอนหนึ่งว่า ต้องการให้กลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 ซึ่งผ่านมาแล้ว 86 ปี พบว่ามีเพียง 24 ปี 310 วันเท่านั้น ที่มีนายกรัฐมนตรีมาจากประชาธิปไตย ระบบ 2 สภา ก็มีเพียง 5 ปี 222 วัน ขณะที่การทำรัฐประหารมีถึง 5 ครั้ง ทำสำเร็จ 3 ครั้ง ล้มเหลว 2 ครั้งและไม่เคยมีครั้งไหนที่ผู้นำรัฐประหารถูกนำตัวมาลงโทษ ดังนั้น กับดักจึงไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น
นายธนาธร กล่าวต่อว่า การทำรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประเทศไทยมีผลอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย นอกจากนี้ ปัจจุบันไทยมีความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจ เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซีย และอินเดีย ตนคิดว่า มีความชัดเจน 1 อย่างในรอบ 60 ปีที่ผ่านมาว่าอะไรฉุดรั้งการเปลี่ยนแปลง และการก้าวไปข้างหน้าของสังคมไทยไว้ พรรคอนาคตใหม่ปาวารณากับตัวเองว่าจะให้มันหยุดที่ยุคของเรา จะไม่ส่งผ่านการรัฐประหารไปยังลูกหลานของเรา วันนี้โลกของเราวันนี้หมุนเร็วมาก จะรักษามาตรฐานของไทยในสังคมโลกไว้ได้เราต้องหมุนเร็วให้ทันโลก ซึ่งระบอบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยตามไม่ทัน ดังนั้น เราต้องทำให้คนกลับมาเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาให้ได้ “พรรคอนาคตใหม่ขอเสนอตัวว่า จะทำให้การรัฐประหารสิ้นสุดในยุคนี้ ไม่ให้ส่งต่อไปยังลูกหลาน เพราะกับดักประเทศไทย คือ การทำรัฐประหารของคนกลุ่มน้อย ที่อยากจะรักษาอำนาจเอาไว้” นาย ธนาธร กล่าว
นายธนาธรกล่าวอีกว่า เหตุที่ตนลงมาทำงานการเมืองเพราะความสิ้นหวัง และมองไม่เห็นทางออก รวมทั้งโกรธที่ทำไมสังคมไทยก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ ในฐานะนักธุรกิจที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองไทยเป็นข้ออ่อนมาก แค่ไปเสนองานยังโดนดูถูกว่าประเทศคุณแค่นิติรัฐยังไม่มีเลย วิธีที่ตนขอเสนอเพื่อก้าวพ้นกับดัก คือ ทุกคนเห็นร่วมกันว่าเราไม่มีฉันทามติในการที่เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร เราต้องสร้างฉันทามติให้ได้ก่อนโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน ตนมองว่า ส.ส. และ ส.ว.หากอยากสังคมออกจากความขัดแย้ง แล้วเล่นตามรัฐธรรมนูญซึ่งเขียนโดยทหารนี้ พรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยทั้งหมดเสียงรวมกันต้องได้ 376 เสียง เพื่อเป็นรัฐบาล จากนั้นขอมติจากประชาชนในการแก้รัฐธรรมนูญ จากนั้นตั้ง สสร.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้ง แล้วทำประชามติรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญอีกครั้ง จะชนะและนำสังคมกลับมาเป็นประชาธิปไตยได้โดยไม่เกิดความวุ่นวาย ถ้าอยากได้ จะชนะได้ต้องรวมกัน เพราะเราต้องชนะในคูหาถึง 3 ครั้ง เพื่อทำลายประชามติที่โกงเรา 1 ครั้ง เราต้องอย่ายอมจำนนต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมไทย “สิ่งที่ทำให้ก้าวพ้นกับดักประชาธิปไตย แบบไม่มีความวุ่นวาย คือ การออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เลือกส.ส. ของพรรคที่เชิดชูประชาธิปไตย ให้ได้ ส.ส. เป็นเสียงข้างมาก 376 เสียงในรัฐสภา เพื่อเอาชนะเสียงส.ว. ในรัฐสภา และเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญ และนำไปออกเสียงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อต่อสู้กับเผด็จการและประชามติขี้โกง”
นายธนาธร กล่าว ทั้งนี้ หากพรรคอนาคตใหม่ได้เสียงข้างมาก ก็จะขอมติในสภา เพื่อแก้ไขรัฐธรรมปี 60 จากนั้นก็จะขอให้ประชาชนลงประชามติอีกรอบ แต่หากพรรคแพ้การเลือกตั้งครั้งหน้าก็ยอมรับ อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนเลือกพรรคที่เชิดชูประชาธิปไตย
ภายหลังจากการเสวนา นายธนาธร กล่าวถึงการนัดประชุมเพื่อกำหนดวันเลือกตั้ง ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงกลาโหม นั่งหัวโต๊ะ สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ ว่า จะไม่ไปเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ส่วนขั้นตอนการจดจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ ยอมรับว่า ยังอยู่ในกระบวนการทางเอกสารตามกฏหมาย ซึ่งตนเชื่อว่า ภายในวันที่ 1 กันยายน พรรคอนาคตใหม่ จะได้รับการรับรองและสามารถดำเนินการในนามพรรคได้