แนะยึดบทฝ่ายค้านเพื่อก้าวที่ไกลกว่า
โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เริ่มเห็นเค้ารางถึงชัยชนะที่ค่อนข้างเบ็ดเสร็จว่าจะตกอยู่ในกำมือของพรรคร่วมฝ่ายค้าน
ผลโพลแต่ละสำนักได้ฉายภาพให้เห็นถึงการผลัดการนำและการตามระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล
แต่ถ้าติดตามดูในสังคมโซเซียลจะพบว่ากระแสของพรรคก้าวไกลค่อนข้างจะแซงหน้าพรรคเพื่อไทยเกือบช่วงตัว
ปรากฎการณ์นี้สามารถจับต้องและมองเห็นได้จากการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เก่งด้านเทคโนโลยีการสื่อสารบนโลกออน์ไลน์ ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มที่หลากหลาย แทบทุกกลุ่มเข้าถึงได้
โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้คือหัวคะแนนโดยธรรมชาติที่ชื่นชอบแนวนโยบายของพรรคก้าวไกล มุ่งหวังอยากให้พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
ตามสโลแกนที่ว่าเลือกก้าวไกลเพื่อการเปลี่ยนแปลง หรือเลือกก้าวไกลประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมยิ่งฟังการปราศรัยของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ มาในบทบาทของผู้ช่วยหาเสียง ประกาศบนเวทีกลางเมืองโคราชว่า”เรามีเจ้านายคนเดียวคือประชาชน”
ซึ่งเป็นประโยคที่โดนใจเหล่าแฟนคลับทั้งของคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกลเป็นอย่างยิ่ง
แต่หากประเมินสถานการณ์ทางการเมืองแบบเจาะลึกถึงการจัดตั้งฐานคะแนนเสียงแล้ว พรรคเพื่อไทย ค่อนข้างจะนำห่างพรรคก้าวไกลอยู่หลายขุม
บวกกับผลงานการบริหารประเทศในอดีตที่นายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สร้างไว้ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของคนระดับกลางถึงรากหญ้าซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ อย่างมิเสื่อมคลาย
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่โค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งจะเห็นแกนนำพรรคเพื่อไทย ต่างแสดงความมั่นอกมั่นใจว่าในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะกำชัยชนะเหนือทุกพรรคและพร้อมที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
ในการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยจะมีดึงพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลด้วยหรือไม่นั้น เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าติดตามอย่างยิ่ง
เพราะสังเกตจากบรรยากาศในการหาเสียงของทั้งสองพอจับเค้าได้ว่าหมางเมินกัน
บวกกับปรากฎการณ์หนึ่งที่อาจจะสร้างความผันแปรให้พรรคเพื่อไทยและก้าวไกลเดินกันคนละทางนั่นคือการประกาศขออนุญาตกลับบ้านเพื่อมาเลี้ยงหลานของนายทักษิณ
ซึ่งนายทักษิณประกาศอย่างมั่นใจว่าจะกลับมาก่อนวันเกิดในเดือนกรกฎาคม การประกาศลักษณะนี้อาจจะสันนิษฐานได้ว่าคงมีการคุยกับหลายๆฝ่ายในระดับหนึ่งแล้วก็เป็นได้
ถ้าพรรคก้าวไกลวืดที่จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แล้วมาสวมบทฝ่ายค้านที่ทรงคุณภาพเหมือนที่ผ่านมา ผลดีน่าจะมาตกที่ก้าวไกล
ยิ่งแสดงบทการตรวจสอบที่เข้มข้นคงเส้นคงวา เหมือนการตรวจสอบรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เครดิตของก้าวไกล จะเพิ่มทวีคูณขึ้น
ประกอบกับครั้งนี้การทำงานของก้าวไกลจะเป็นตัวของตัวเองและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ในฐานะที่เป็นแกนนำฝ่ายค้าน จะทำให้การตรวจสอบการทุจริตในทุกวงการถึงลูกถึงคนมากยิ่งขึ้น
เชื่อว่าผลงานเหล่านี้จะเรียกศรัทธาจากแฟนคลับได้อย่างล้นหลาม
ยิ่งในแต่ละปีคนรุ่นใหม่จะมีสิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หาก้าวไกลยังคงยืนหนึ่งด้านคุณภาพของการตรวจสอบ คนเหล่านี้จะเป็นฐานเสียงสำคัญแบบเสียงไม่ตกไม่หล่นแน่นอน
เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งใหญ่คงจะทำนายได้ไม่ยากว่าพรรคก้าวไกล คือพรรคยืนหนึ่งหรืออาจจะเกิดปรากฎการณ์แลนด์สไลน์ขึ้นมาก็เป็นได้
ซึ่งปรากฎการณ์แลนด์สไลน์เสมือนได้อำนาจในมืออย่างเบ็ดเสร็จ ถึงเวลานั้นพรรคก้าวไกลอาจจะได้จัดพรรครัฐบาลพรรคเดียวหรืออาจจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
นโยบายที่ประกาศไว้จะผลักดันได้อย่างเป็นรูปธรรม ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน สร้างความสมหวังให้กับแนวร่วมและแฟนคลับ
แต่ครั้งนี้ถ้าพรรคก้าวไกลได้ร่วมรัฐบาลในฐานะพรรคที่สองหรือที่สาม นโยบายเปรียบเสมือนสัญญาประชาคมอาจจะผลักดันออกมาให้เห็นและบรรลุผลได้น้อย
เมื่อถึงเวลานั้นอาจจะถูกประชาชนที่เทคะแนนเสียงเลือกประณามได้ว่าดีแต่พูด เหมือนพรรคเก่าแก่บางพรรคก็เป็นได้
ดังนั้นเพื่อให้นโยบายที่ก้าวไกลประกาศว่า เลือกก้าวไกลประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมและเปลี่ยนแปลงในทางดีขึ้น ถูกปฎิบัติได้จริง ก็อยากให้พรรคก้าวไกลยึดบทบาทฝ่ายค้านอันทรงคุณภาพอีกสมัย เพื่อก้าวที่ไกลกว่า!!!