ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร หรือ หม่อมโจ้ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว กล่าวถึงกรณีอดีตพระพุทธอิสระ ตกเป็นผู้ต้องหาในหลายคดี ซึ่งในระหว่างการดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ฝากขังต่อศาลอาญารัชดา ซึ่งล่าสุดศาลอาญา ไม่ให้ประกันตัว ทำให้อดีตพระพุทธะอิสระ ต้องสึกจากความเป็นพระ โดยระบุว่า “คำว่า ‘หลวงปู่’ เป็นคำสำหรับเรียกพระผู้สูงอายุ
การที่พระในวัยสูงจะเรียกตัวเองว่าหลวงปู่เป็นเรื่องปกติ
แต่สำหรับพระผู้ยังหนุ่ม การเรียกตัวเอง พร้อมให้ผู้อื่นเรียกตัวเองว่า ‘หลวงปู่’ นั้นย่อมแตกต่าง
โดยย่อมมีเจตนาแอบแฝง ต้องการชักจูงให้ผู้คนมองตัวเองไปในทางเป็นผู้วิเศษ ที่มาพร้อมอภินิหาร
โดยตรงนี้ ไม่ว่าจะในกรณีของนายวิรพล สุขผล (หลวงปู่เณรคำ) และ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ (หลวงปู่พุทธอิสระ) ย่อมต้องมีเรื่องราวเกี่ยวกับอภินิหารมากมายมาประกอบในลักษณะเดียวกัน ที่ลูกศิษย์มีหน้าที่เผยแพร่เพื่อลวงโลกกันไป
สำหรับนายวิรพล เรื่องราวของเขาคือ พระผู้มีบุญบารมีมากพร้อมอภิญญา ได้กลับมาเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีต่อในร่างของสามเณรวีรพล โดยชาวบ้าน เมื่อได้เห็นสามเณรนี้ แทนที่จะเห็นเป็นสามเณรน้อย ในบ่อยครั้งมักจะเห็นเป็นพระภิกษุชราผู้มีบุญบารมีมาก อันเป็นจุดกำเนิดของการเรียก ‘หลวงปู่’ โดยชาวบ้านก็ได้เรียกกันต่อ สืบทอดกันมา
สำหรับนายสุวิทย์ เรื่องราวของเขาคือ เมื่อบวชพรรษาแรก ได้เดินทางไปแสวงหาธรรมจากหลวงปู่แหวน โดย “เมื่อหลวงปู่แหวนเห็น ก็รีบมารับกลด รับบาตร ปูอาสนะให้หลวงปู่ฯ นั่ง กราบหลวงปู่และเรียกว่า ‘อาจารย์ปู่’ บังเอิญมีนักเรียนแพทย์ติดตามหลวงปู่ไปด้วยก็เลยเรียกตาม ๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน”
ซึ่งในความเป็นจริง นอกจากจะเป็นการผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าที่จะไปกราบพระผู้มีพรรษาน้อยกว่า ซึ่งหลวงปู่แหวนย่อมไม่กระทำอย่างแน่แท้ ในปีที่นายสุวิทย์บวชครั้งแรก หลวงปู่แหวนท่านอาพาธหนักแล้ว ไม่สามารถที่ลุกขึ้นกราบได้ และ ไม่มีลูกศิษย์หลวงปู่แหวนหรือคณะแพทย์ที่ไหน รับรู้เรื่องราวนี้ อันเป็นการโกหกแอบอ้างล้วน ๆ
การแอบอ้างถึงการที่มีพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่มีผู้คนนับถือมาก มาคารวะตนเองดังกล่าว มาพร้อมกับเรื่องราวที่ปรากฏในเว็บไซต์วัดอ้อน้อยและในเครือค่าย ว่าพระครูเทพโลกอุดร ผู้สำเร็จอภิญญาชั้นสูงและปฏิสัมภิทาญาณ ได้จุติมาบำเพ็ญบารมีช่วยเหลือสรรพสัตว์ ในร่างของ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ
พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกท่านที่ถูกแอบอ้างลบหลู่หลายต่อหลายครั้ง โดยมิได้ปรากฏเพียงในเว็บไซต์ในรูปแบบการถอดเทปเท่านั้น แต่ปรากฏในคลิปสัมภาษณ์นายสุวิทย์เอง คือ หลวงพ่อฤษีลิงดำ ซึ่งนายสุวิทย์ได้กล่าวว่า “หลวงพ่อฤษีลิงดำก็เรียกตนเองว่า ‘อาจารย์ปู่’ เช่นกัน” และบอกให้ “ลองไปสืบค้นดูประวัติได้เลย พระองค์ที่ 10” ซึ่งหากไปค้นในเว็บไซต์วัดอ้อน้อยและในเครือ จะพบการอ้างถึงพระครูเทพโลกอุดรตามที่ได้กล่าวมา และ เรื่องราวของการที่หลวงพ่อฤษีลิงดำพยากรณ์ว่าจะมีพระหนุ่มผู้วิเศษ ‘พระองค์ที่ 10’ ไปเยือนวัดท่าซุง ซึ่งเมือมาถึง นายสุวิทย์ได้ “พบว่ามีผู้คนมายืนมุงดูกันเต็มไปหมด ผู้คนต่างก็เข้ามากราบและสอบถามธรรมะกับหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ก็ตอบไปเป็นเวลา 1 วันกับอีก 1 คืนเต็ม ๆ ไม่สามารถที่จะลุกไปเข้าห้องน้ำได้เลย ได้รับบริจาคเงิน ทอง แก้ว แหวน เพชร พลอย เป็นจำนวนมาก ซึ่งหลวงปู่ได้ยกให้กับทางวัดท่าซุงไปจนหมด” โดยเรื่องราวดังกล่าว ทางวัดท่าซุงรับรู้ถึงการแอบอ้างของนายสุวิทย์ และปฏิเสธในสิ่งที่นายสุวิทย์โกหกอ้างเหล่านี้ทั้งสิ้น
การแอบอ้างต่างต่างนานาดังกล่าว บางส่วนก็เป็นคลิปนายสุวิทย์พูดเอง บางส่วนก็เป็นการถอดจากเทปของนายสุวิทย์ บางส่วนก็เป็นการเล่าตามที่ลูกศิษย์บอกว่าได้ยินจากนายสุวิทย์เอง แม้นายสุวิทย์เองดูจะเลี่ยงไม่พูดหลาย ๆ อย่างหากมีการบันทึกเป็นคลิป อันจะเป็นหลักฐานการกระทำความผิดด้วยตนเอง แต่จากการที่นายสุวิทย์จะปล่อยให้อยู่ในเว็บไซต์วัดอ้อน้อยและในเครือโดยไม่ทำอะไร และการที่ได้บอกให้ “ลองไปสืบค้นดูประวัติได้เลย พระองค์ที่ 10” ย่อมบงบอกว่านายสุวิทย์ ย่อมร่วมรู้เห็นเป็นใจ กับการเผยแพร่ หรือ การจงใจร่วมทำให้เกิดความเชื่อ ในเรื่องราวโกหกหลอกลวงตามที่มีการเผยแพร่จากวงของตนเอง ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุม ‘การอวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มีจริงในตน’
………….
ทั้งที่เป็นนักบวช แต่ด้วยความทะเยอทะยานมักใหญ่ไฝสูง พร้อมความกล้าที่จะแอบอ้างโดยไม่เกรงกลัว ไม่ละอายใจ สมทบกับการหลงตัวเอง การมีอำนาจทางการเมือง การรู้จักผู้มีอำนาจ ด้วยกรรมบันดาลเพราะบาปกรรมที่ตนเองได้กระทำมามากในการแอบอ้างลบหลู่ผู้มีบุญญาธิการสูงเป็นนิตย์ และ ความประพฤติต่าง ๆ ที่ไม่เหมาะสมผิดพระวินัยของตนเอง ทั้งที่ตัวเองได้เพียงแต่ขออนุญาต โดยไม่เคยมีการตอบรับ อันหมายถึงการไม่ได้รับอนุญาติ นายสุวิทย์ได้พลาดไปแอบอ้างปลอมแปลงพระปรมาภิไธย เพราะนิสัยชอบโกหกแอบอ้างของสูงที่ตนเองได้สะสมมาเนิ่นนาน จึงในที่สุดไม่พ้นการจบลงในคุก
………..
ไม่ว่านายสุวิทย์ จะได้กล่าวลาสิกขา หรือ ไม่ได้กล่าว ก่อนที่จะเปลี่ยนชุดเข้าตาราง
ไม่ได้จะมีความสำคัญตามที่บางแหล่งพยายามให้มี เพราะหากว่ากันไปตามหลักฐานการแอบอ้าง อวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มีจริงในตน ที่บ่งชี้ว่านายสุวิทย์ได้มีส่วนร่วมในการกระทำให้เกิดขึ้นโดยเจตนา เขาย่อมได้พ้นจากความเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาไปนานแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องลาสิกขา ด้วยเหตุว่าเขาย่อมไม่ใช่พระอยู่แล้ว แต่เป็นเพียงอลัชชีอันเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา ที่สมควรมานานแล้วที่จะมีต้องมีการชำระล้างออกไป ตามที่ได้มีการกระทำไป”
[fb_pe url=”https://www.facebook.com/roongunaml/posts/2064664720457500″ bottom=”30″]