นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีกระแสการวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกจับอดีตพระพุทธะอิสระ เมื่อวันที่ (24 พ.ค.) ที่ผ่านมาว่า การรักษากฎหมายที่เดินหน้าสู่ความขัดแย้ง ภาพการเข้าจับกุม พุทธะอิสระ ในตอนเช้าตรู่ของวันที่ (24 พ.ค.) ตามมาด้วยการวิพากย์วิจารณ์ทั้งในฝ่ายที่เห็นสมควรและไม่เห็นสมควรจนเกิดกระแสตีกลับขนาดนายกรัฐมนตรีต้องออกมาเอ่ยปากขอโทษผ่านสื่อ ตนคงไม่อยู่ในฐานะที่จะบอกว่าใครถูกผิด เพียงแต่กำลังคิดต่อไปว่าเรื่องราวทำนองนี้ยังจะมีอีกหรือไม่ และใครจะเป็นรายต่อๆไป
“ในช่วงสิบปี ของความขัดแย้งทางการเมืองไทยอย่างรุนแรงที่ทั้งสองฝ่ายมุ่งเอาชนะในทางการเมืองทุกรูปแบบวิธีการหากเอากฎหมายเป็นตัวตั้ง ไม่มีใครที่เกี่ยวข้องแล้วไม่ทำผิดกฎหมาย
ภาพของการบุกสถานที่ประชุมผู้นำอาเซียนที่ รร.รอยัลคลิฟ พัทยา ของกลุ่มเสื้อแดง เป็นความผิด
ภาพการรุมล้อมของคนเสื้อแดงทุบรถของนายอภิสิทธิ์ ที่กระทรวงมหาดไทย ก็เป็นความผิด
ภาพการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่บานปลายเป็นการเผาบ้านเผาเมืองในหลายที่ ก็เป็นความผิด
ภาพการยึดทำเนียบ ปิดถนน ของเสื้อเหลือง และ กปปส. ก็เป็นความผิด
ภาพการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เป็นความผิด
ภาพการขัดขวางการเลือกตั้ง ของกลุ่ม กปปส. จนทำให้การเลือกตั้ง ๒ กุมภาพันธ์ ปี ๕๗ เป็นโมฆะ ก็เป็นความผิด” นายสมชัยกล่าว
นายสมชัย ยังกล่าวอีกว่า การดำเนินการตามกฎหมาย เป็นสิ่งที่คืบคลานเดินหน้าต่อแบบเงียบๆตามสไตล์ของการทำงานแบบราชการ เนิ่นนาน ล่าช้า แต่ไม่หยุด คดีความต่างๆทุกคดีอาจใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานเป็นปี ผ่านการพิจารณาจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทีละขั้น ทีละตอน โดยเน้นความถูกต้องตามกฎหมายที่มีอยู่ในบ้านเมือง ไม่เร็วแต่ก็ไม่ช่วย อาจช้าแต่ค่อยๆขยับจนยากสังเกตเห็นแต่ก็คืบหน้าเหมือนบ่วงที่ค่อยๆรัดให้แน่นโดยไม่ทันรู้สึกตัว การตัดสินใจในการดำเนินคดีในแต่ละกรณี สิ่งที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทำได้ คือ สรุปตามสิ่งที่อยู่ในกฎหมายไปก่อน และรอผู้ที่มีอำนาจขั้นสูงกว่ามาใช้ความกล้าหาญในการสั่งการในทางที่แตกต่าง แต่ในทุกขั้นที่ถูกเสนอขึ้นมาการตัดสินใจแบบราชการคือ เห็นชอบและดำเนินการต่อโดยใช้ฐานความคิดทางนิติศาสตร์เป็นหลักเพื่อป้องกันตนมากกว่าจะคำนึงถึงความเหมาะสมหรือประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อบ้านเมือง
นายสมชัย กล่าวด้วยว่า คดีความทางอาญาและแพ่งจำนวนหลายร้อยคดีที่เกิดขึ้นในช่วงชุมนุมของทั้งสองฝ่าย จึงรอคอยเพียงเมื่อไรจะถึงคิวเชือด คนเสื้อแดงโดนจำคุกไปแล้วมากมายจากกรณีเผาเมืองและใช้ความรุนแรง พันธมิตรหลายคนถูกฟ้องล้มละลาย ถูกอายัดบัญชีทรัพย์สินจากกรณีปิดสนามบิน ลุงกำนันและกปปส.จะตามมาในเร็วๆนี้ทั้งความทางอาญาและทางแพ่ง วาทกรรมที่พูดก็มีเพียงว่า กรรมใดใครก่อก็ย่อมมีผลกรรมตามมา หรือเลวร้ายกว่านั้นคือการทับถมจากฝ่ายที่เห็นต่างว่าสมควรแล้ว ใครหนีได้ก็หนี ใครไม่หนีก็ก้มหน้าก้มตารับโทษในคุกด้วยวาทกรรมที่ให้กำลังใจว่า เป็นผู้กล้ายอมรับในโทษทัณฑ์ ไม่หลบหนีเหมือนใครบางคน
“ผมไม่ปฏิเสธว่า ผู้ก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าวนั้นกระทำผิดทั้งทางอาญาและแพ่ง หลายเรื่องหลายกรณีคือความวินาศของบ้านเมืองในแต่ละยุคด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่แต่ละฝ่ายทำล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อทางการเมืองและความปรารถนาในการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองในช่วงนั้นให้ดีขึ้นในสายตาของพวกเขา แม้ว่าจะถูกมองจากอีกฝ่ายว่าเป็นการงมงายหลงในอุดมการณ์อย่างไม่ลืมหูลืมตา ยอมให้ถูกชักจูงกระทำสิ่งที่ผิดกฎหมายก็ตาม” นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย กล่าวอีกว่า วันนี้ผู้ปกครองบ้านเมืองที่มาจากการยึดอำนาจ ลอยตัวจากสถานการณ์เนื่องจากตนเองพ้นผิดจากกฎหมายที่ฝ่ายตนร่างให้การกระทำใดๆในการรัฐประหารหรือหลังจากนั้นไม่เป็นความผิด แต่กลับนิ่งเฉยในการดูผลการบังคับใช้กฎหมายที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่ขัดแย้งกันภายใต้คำพูดว่าทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย ตนกำลังบอกว่า กฎหมายต่างๆที่เดินหน้าบังคับใช้ กำลังเข่นฆ่าคนจำนวนมากที่ปรารถนาดีและเสียสละต่อบ้านเมือง คนที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับการชุมนุม คนที่กล้าลุกขึ้นสู้กับอำนาจรัฐในยุคนั้น คนที่ทำเพื่อบ้านเพื่อเมืองทั้งหลายกำลังถูกกฎหมายคืบคลานกำจัดไปทีละคนสองคนหรือนี่ คือ เกมที่วางไว้ว่า เมื่อถึงเวลาที่ผู้ปกครองในอนาคตขึ้นครองอำนาจและกล้าทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม วันนั้นจะได้ไม่มีใครเลยสักคนที่เหลือจะมาต่อสู้คัดคานเขาอีกแล้ว
“หากเป็นเช่นนี้จริง บอกได้เลยครับ กรณีพุทธะอิสระ ยังไม่ใช่กรณีสุดท้ายอย่างแน่นอน” นายสมชัย กล่าว
การรักษากฎหมายที่เดินหน้าสู่ความขัดแย้งภาพการเข้าจับกุม พุทธะอิสระ ในตอนเช้าตรู่ของวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑…
โพสต์โดย Somchai Srisutthiyakorn เมื่อ วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2018