นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลงพื้นที่ ครม.สัญจร ที่ จ.สุรินทร์ และ จ.บุรีรัมย์ ว่า เป็นอีกครั้งที่ภาพการทำกิจกรรมในลักษณะนี้ของรัฐบาล คสช.ถูกตั้งคำถามถึงความจำเป็นและความคุ้มค่าของงบประมาณที่ใช้ไป ครม.สัญจร กันถี่ขนาดนี้ มีอีเว้นท์รองรับ ทำประชาสัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ ประชาชนได้ประโยชน์มากกว่าการประชุมในทำเนียบฯ หรือไม่ ประชาชนอาจจะอยากตั้งคำถามว่า เปิดทำเนียบฯ ดูด มันไม่ทันใจ ถึงต้องไปเดินสายลงพื้นที่เพื่อดูดกลุ่มการเมืองเข้าร่วมก๊วนเพิ่มหรือไม่
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า ถ้าตะโกน “ลุงตู่สู้ๆ” แล้วได้งบประมาณลงพื้นที่เพิ่มมากขึ้น แล้วจังหวัดที่ไม่มีโอกาสได้ตะโกน จะรู้สึกว่าฝนตกไม่ทั่วฟ้าหรือไม่ หรือเป็นปรากฏการณ์ฝนตกขี้หมูไหล คนอะไรมารวมกัน เลยได้ประโยชน์เฉพาะกลุ่มที่ใกล้ชิดและเครือข่ายของตนก่อนหรือไม่ นี่คือวิธีการจัดสรรงบประมาณแบบใหม่ตามเสียงตะโกน ที่ปฏิรูปตามแนวทางของ กปปส.ที่เป่านกหวีดชัตดาวน์ประเทศหรือไม่
“ระยะหลังแข่งฟุตบอลคนยังไม่ค่อยเต็มสนาม แต่มารับ พล.อ.ประยุทธ์ รถติดหลายกิโล เป็นการสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่ขึ้นมาหรือไม่ แล้วต่อจากนี้พื้นที่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะไป มิต้องทำการอย่างหนัก หาวิธีต้อนรับให้แปลกใหม่ใหญ่ดังกว่า ถึงจะได้งบประมาณเพิ่มหรือไม่” นายอนุสรณ์ กล่าว
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลและเครือข่ายใช้อีเว้นท์ทางการเมืองนำการแก้ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนหรือไม่ รัฐบาลเปิดทำเนียบฯ รับทีมละครบุพเพสันนิวาส มาช่วยโปรโมทงานรัฐบาลก็เอา แต่ที่ จ.บุรีรัมย์ การปรากฎตัวออกสื่อพร้อมกันของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล , นายเนวิน ชิดชอบ กับ พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าเป็นกลุ่มฟินจิกหมอน จะเห็นว่าอะไรก็สุดแท้ แต่คนที่ไม่อิน ไม่ติดยึดกับกระพี้ หรืออีเว้นท์การเมือง เห็นเป็นการเมืองโบราณย้อนยุค อาจบอกว่า “ผีเน่ากับโลงผุ” หรือไม่
“ประชาชนเห็นชัดเจนว่าในขณะที่รัฐบาล คสช.ทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่ไม่ยอมปลดล็อกพรรคการเมือง ไม่ให้ทำกิจกรรมใดๆ แล้วแบบนี้จะถือว่าการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นอยู่บนพื้นฐานของการเลือกตั้งที่ free and fair เสรีและยุติธรรมหรือไม่” นายอนุสรณ์ กล่าว