“พล.ต.ท.ไตรรงค์ ” ยันไม่ถือสา”รองฯโจ๊ก” ปมพาดพิงตำรวจ ลั่นพร้อมสอบหากมีตำรวจไซเบอร์รับผลประโยชน์ – แจง 3 ความสัมพันธ์ อดีต รอง ผบ.ตร. ยันตำรวจมีหลักฐานเส้นเงินเอาผิดนักการเมือง
วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2568) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ เปิดเผย ต่อกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พาดพิงถึงบทสัมภาษณ์ของตนในรายการหนึ่ง ว่าอดีต รอง ผบ.ตร. ได้ด้อยค่าตำรวจกว่า 2 แสนนาย ด้วยการระบุว่าแก๊งอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดคือตำรวจนี่เอง
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ระบุว่า ส่วนตัวไม่มีความเห็นกับการพาดพิงของอดีต รอง ผบ.ตร. เนื่องจากจะเข้าใจอย่างไรเป็นเรื่องการรับฟังของแต่ละคน และไม่เคยได้รับข้อมูลพยานหลักฐานเกี่ยวกับกรณีที่ อดีต รอง ผบ.ตร. ที่กล่าวหาว่าตนเคยรับผลประโยชน์ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือ ตำรวจไซเบอร์ ยืนยันว่า หากมีผู้ใต้บังคับบัญชารับผลประโยชน์ก็จะมีการดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
รองจเรตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่าเป็นความจริงที่ตนเคยเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการตำรวจ PCT 4 (ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ) และมีการจับกุมเครือข่ายเว็บพนันมินนี่ ซึ่งนำไปสู่การขยายผลจับกุมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่
เมื่อถามว่าการถูกพุ่งเป้ากล่าวหาโดยตรงเชื่อว่าเป็นความแค้นส่วนตัวหรือไม่พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยืนยันว่าไม่ทราบเรื่องความแค้นส่วนตัว และระบุถึงความสัมพันธ์กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่ามีเพียง 3 ข้อ ดังนี้ 1. เป็นพี่น้องร่วมสถาบันโรงเรียนนายร้อยตำรวจ 2. ร่วมทำงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ 3. เป็นคณะตำรวจที่ดำเนินการคดีและมีการขยายผลไปถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จนนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการและถูกไล่ออกจากราชการ
พล.ต.ท.ไตรรงค์ เชื่อว่าผู้ที่กล่าวหาได้ยื่นข้อมูลตรวจสอบในหลายหน่วยงานและมีการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้มีปัญหาใด แต่ผู้ยื่นข้อมูลอาจได้รับผลที่ไม่ถูกใจ จึงไม่ยอมรับข้อมูล โดยยืนยันว่าทุกหน่วยงานทำงานอย่างมืออาชีพ
“ตำรวจมีทั้งดีและไม่ดี แต่สิ่งหนึ่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นมาเสมอ จะมีตำรวจไปจับตำรวจไม่ดีเมื่อมีการร้องเรียน” พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าว พร้อมย้ำว่าการดำเนินคดีใดๆ ที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา ไม่ได้มี 2 มาตรฐาน เป็นเพียงความคิดเห็นที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล
สำหรับกรณีที่ นายอัจฉริยะ เรื่องรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ระบุว่าพนักงานสอบสวนชุดทำคดีของนักการเมืองคนหนึ่งในพื้นที่ จ.สงขลา พัวพันกับการพนันออนไลน์ และไม่นำหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับเส้นทางการเงินเข้าสู่สำนวนจนทำให้นักการเมืองรอดคดีนั้น ยืนยันว่า ตำรวจชุดสืบสวนจับกุมไม่ได้มีการกลับคำให้การ และสำนักงานจเรตำรวจได้ตั้งคณะกรรมการและเรียกสอบถามข้อเท็จจริงจนสิ้นสุดแล้ว ไม่มีกรณีที่ตำรวจช่วยให้ผู้ต้องหาพ้นจากการกระทำความผิดแต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่หลักฐานของนายอัจฉริยะ ไม่ถูกนำไปประกอบสำนวนส่งให้กับอัยการจนเป็นเหตุให้สั่งไม่ฟ้องนั้น พล.ต.ท.ไตรรงค์ ระบุว่า ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดอีกครั้ง หากพบพนักงานสอบสวนหรือตำรวจบกพร่อง หรือไม่นำหลักฐานเข้าสู่สำนวน ก็จะต้องถูกเอาผิดทั้งอาญาและวินัย
ปัจจุบันคดีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองคนดังกล่าว โดยศูนย์ PCT 4 ได้ดำเนินคดีไปแล้ว 3 คดี ในพื้นที่ สถานีตำรวจภูธรง(สภ.)เมืองสงขลา 2 คดี (จัดให้มีการเล่นการพนันและร่วมกันฟอกเงิน) และ สภ.หาดใหญ่ 1 คดี (ร่วมกันเล่นการพนัน) ซึ่งคดีร่วมกันเล่นการพนันถือว่าสิ้นสุดแล้ว จึงเหลืออีก 2 คดีที่อัยการสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังมีคดีเว็บการพนันออนไลน์ที่มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับนักการเมืองคนดังกล่าวในพื้นที่ สน.เพชรเกษมอีก 1 คดี อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน

