“รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ตกอยู่ในภาวะพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก เจอภาวะกดดันอย่างหนักทั้งจากม็อบที่เคลื่อนไหวให้ลาออก พรรคร่วมรัฐบาลเล่นแง่ต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี รวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ไม่ปกติ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อาชญากรรมพุ่งกระฉูด ล้วนฉุดให้ศรัทธาที่มีต่อรัฐบาลเสื่อมถอยและถึงขั้นวิกฤต“

หากรัฐบาลจะกอบกู้ศรัทธาคืนภายในระยะอันสั้น มีอยู่หลายช่องทาง แต่ที่น่าจะเห็นผลรวดเร็วนั่นคือเร่งขจัดความเดือดร้อนของประชาชนที่กำลังเผชิญกับภัยอาชญากรรมทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติด ปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ที่เกิดขึ้นในทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะประเภทลักวิ่งชิงปล้น รวมถึงอาชญากรรมทางไซเบอร์
กลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้สำเร็จเห็นผลแบบฉับพลัน นั่นคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่อยู่ในกำกับดูแลของ น.ส.แพทองธาร เพราะมีกำลังกระจายครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ และสามารถมือกับอาชญากรรมได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะอาชญากรรมทางไซเบอร์ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และองค์กรอาชญากรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง หรือแก๊งค้ายาเสพติด
ที่ผ่านมา การก่ออาชญากรรมในลักษณะต่างๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะตำรวจเกิดอาการหวาดหวั่นว่าหากลุยกับองค์กรอาชญากรรมต่างๆ จะไปเหยียบตาปลาของนักการเมืองหรือผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆ หรือไม่ เพราะต่างทราบกันดีว่าองค์กรอาชญากรรมส่วนใหญ่มักจะอิงแอบกับกลุ่มคนเหล่านี้ ถ้าลุยไปแบบไร้คนระวังหลังให้ หรือไร้กำแพงให้พิง ภัยจะมีถึงตัวเองและครอบครัว
จึงทำให้องค์กรอาชญากรรมเหล่านี้ยืนหยัดอยู่ได้ อย่างกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ผงาดกวาดทรัพย์ชาวบ้านไปหลายแสนล้าน ในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำเผด็จการทหารครองเมือง มีผลการปราบปรามของตำรวจน้อยมาก
กระทั่งในยุคของนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้แจ้งกับนายเศรษฐาว่าถ้าจะปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้ได้ผล นายกรัฐมนตรีต้องลงมือเองด้วยการไปเจรจากับรัฐบาลกัมพูชา เพราะฐานใหญ่อยู่ในกัมพูชา แต่ไร้ผล เพราะเครือข่ายใหญ่ล้วนอยู่สังกัดของรัฐบาลกัมพูชาแทบทั้งสิ้น ส่งผลให้ตำรวจอยู่ในอาการ บื้อ บอด ใบ้
ต่อมายุคของ น.ส.แพทองธาร สั่งการด้วยตัวเองทั้งก่อนและหลังที่คลิปหลังไมค์แพร่ออกไป ได้สั่งการแบบเฉียบขาดมากขึ้น องค์กรตำรวจขานรับอย่างเต็มที่ ทั้งจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 เป็นต้น แต่ละหน่วยต่างมีผลงานแถลงให้ประชาชนรับทราบแบบรายวัน
ผลจากที่ น.ส.แพทองธาร สั่งจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบเฉียบขาด ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนอย่างล้นหลาม ผลโพลสำนักต่างๆ เป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ดี
ที่ “ประดู่แดง” เสนอแนะให้ น.ส.แพทองธาร ใช้องค์กรตำรวจเป็นเครื่องมือกู้ศรัทธา เพราะสร้างผลงานได้รวดเร็วและโดนใจชาวบ้าน เพราะต่างได้รับความเดือดร้อนจากภัยอาชญากรรมอย่างทั่วหน้า ขอยกตัวอย่างถึงผลงานที่สัมผัสได้ว่าถ้าตำรวจเอาจริง เป้าหมายจะบรรลุ
กรณี ตร.ใช้แผนยุทธการ “ปิดเมือง สยบโจร โค่นอิทธิพล” ระหว่างวันที่ 14-20 มิถุนายน สามารถจับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและวัตถุระเบิดได้ถึง 4,590 คดี ผู้ต้องหา 3,686 คน ยึดปืน 4,422 กระบอก กระสุนปืน 26,490 นัด และระเบิด 606 ลูก ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนทางออนไลน์ ยึดปืน 165 กระบอก กระสุน 9,184 นัด และระเบิด 5 ลูก
จับกุมบุคคลตามหมายจับคดีค้างเก่าตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2547 – 30 กันยายน 2567 และหมายจับศาล รวมทั้งสิ้น 13,962 หมาย ผู้ต้องหา 9,951 คน ด้วยระยะเวลาเพียง 7 วัน ตำรวจสามารถดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุได้กว่าหมื่นคน
หาก ตร. ดำเนินการในลักษณะดังกล่าวแบบต่อเนื่อง เชื่อว่าอาชญากรรมจะลดลงอย่างมีนัยยะ เท่ากับว่าเป็นการสร้างเครดิตให้กับรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น ถ้า น.ส.แพทองธาร ที่ตกอยู่ในภาวะเก้าอี้นายกรัฐมนตรีสั่นไหว ลองใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบอย่างเฉียบขาด โดยประกาศที่จะยืนเป็นกำแพงให้ตำรวจทุกนายพิง เชื่อว่าจะเกิดศรัทธาในกลุ่มประชาชนเป็นวงกว้าง เพราะในภาวะปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ต่างตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมในหลากหลายรูปแบบ
แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ น.ส.แพทองธาร จะกลับมรสุมลูกต่างๆ ไม่ว่าจะจากม็อบหรือองค์กรอิสระ ถ้าหากใช้ช่วงเวลานี้กวดขันการทำงานของตำรวจทั้งองค์กร เชื่อว่าจะสร้างผลงานให้ประชาชนได้ประทับใจอย่างมาก และผลงานนี้จะเป็นอีกขาหนึ่งที่คอยค้ำยันให้น.ส.แพทองธารเดินต่อได้!!!


