ฮุนเซนโยนระเบิดใส่-ฝ่ายต้านรัฐบาลโดดงับ ฝั่งแบก หาช่องแก้-วอนใช้สติเสพข่าว

1129


               “คลิปหลังไมค์ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คุยกับสมเด็จฮุน เซน เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นการส่วนตัว ถูกสมเด็จฮุน เซนแอบอัดพร้อมปล่อยในสื่อโซเซียล กลายเป็นประเด็นร้อนนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองไทย

             หลายฝ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความรู้เชิงการทูตและภาวะความเป็นผู้นำประเทศ ต่างรุมประณามสมเด็จฮุนเซน ว่าไร้มารยาททางการทูต ไม่ลูกผู้ชาย พฤติกรรมแบบนี้ไม่มีผู้นำทั่วโลกคนไหนกระทำ

         แต่ในประเทศไทยกลับกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของกลุ่มที่สูญเสียอำนาจทางการเมืองหยิบขึ้นมาปั่นกระแสปลุกม็อบ รุมประณามน.ส.แพทองธารและพรรคเพื่อไทย ว่าไม่ปกป้องผลประโยชน์ชาติ โดยไม่วิเคราะห์แยกแยะว่าการกระทำของสมเด็จฮุน เซน มีวาระซ่อนเร้นหรือไม่?

     จังหวะเดียวกันพรรคภูมิใจไทย ฉวยโอกาสที่ถูกบีบให้คืนกระทรวงมหาดไทย ตีกินทางการเมืองด้วยการออกแถลงการณ์ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล พร้อมเรียกร้องให้ น.ส.แพทองธาร แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำให้ประเทศต้องเสียเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีของชาติ ประชาชนและกองทัพ

    ต่อมาแกนนำพรรคภูมิใจไทย ต่างโพสต์ผ่านสื่อโซเชียล ปลุกให้ประชาชนลุกขึ้นสู้ปกป้องชาติ  ตามด้วยรัฐมนตรีจากภูมิใจไทย ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง สอดรับกับม็อบขาประจำนัดชุมนุมขับไล่รัฐบาลหน้าทำเนียบรัฐบาล และมีบางกลุ่มถึงขั้นเชิญชวนให้ทหารยึดอำนาจ

  จากบริบทดังกล่าวเกิดกระแสวิจารณ์ในสื่อโซเชียลว่า สมเด็จฮุน เซน โยนระเบิดลูกนี้ได้ผลอย่างมาก ฝ่ายแค้นที่สูญเสียอำนาจต่างปลุกกระแสให้ประชาชนรุกฮือขับไล่น.ส.แพทองธาร ลงจากอำนาจ โดย สมเด็จฮุน เซน นั่งกระดิกตีนดูความแตกสามัคคีในไทย พร้อมเก็บเกี่ยวคะแนนนิยมในชาติอย่างสบายใจเฉิบ

        ซึ่งเป็นเกมที่สมเด็จฮุน เซน ยอมเทหมดหน้าตักหวังเรียกคะแนนนิยมภายในชาติ ตามที่น.ส.แพทองธาร บอกว่า ชัดเจนแล้วว่าความต้องการของท่านจริงๆแล้วคือคะแนนนิยมในประเทศโดยไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ท่านต้องการความนิยมในประเทศ เพราะท่านเคยบอกดิฉันว่าคะแนนนิยมเริ่มตก” เกมนี้เท่ากับสมเด็จฮุน เซน ผลักมิตรไปเป็นศัตรู ซึ่งเสียมากกว่าได้ เพราะถ้าเปลี่ยนรัฐบาล ความสัมพันธ์ที่ดีแบบรัฐบาลจากตระกูลชินวัตร คงเกิดยาก และรัฐบาลใหม่ของไทยคงไม่ให้ราคาสมเด็จฮุน เซน มากนัก ถ้ารัฐบาลยังคงเป็น น.ส.แพทองธาร เชื่อว่าเหตุการณ์ถูกแทงข้างหลังคือบทเรียนสำคัญ 

     ในจังหวะที่กระแสในโซเชียลโหมกระหน่ำถล่มรัฐบาลแพทองธารและตระกูลชินวัตร ถึงขั้นตะเพิดพ้นประเทศ นักวิชาการและผู้รู้หลายกลุ่มต่างโพสต์แสดงความห่วงใยให้ประชาชนเสพข่าวอย่างมีสติ คิดแยกแยะว่าการกระทำของสมเด็จฮุน เซน สร้างความแตกสามัคคีให้คนในชาติหรือไม่ แชร์เตือนสติกันจำนวนมาก อาทิ ข้อความที่ว่า ปัญหาเรื่องคลิปเสียง ไม่ควรถูกวิเคราะห์แค่ในมิติของความผิดพลาดส่วนบุคคล เท่านั้น แต่ควรขยายไปถึงมิติที่ซ่อนเร้นอะไรไว้เบื้องหลัง

   เนื้อหาบางตอนระบุว่าใครได้ประโยชน์จากความแตกแยก?และใครคือผู้จัดฉากหรืออยู่เบื้องหลังการปล่อยคลิป ซึ่งคลิปเสียงไม่ใช่เป้าหมายแต่เป็นเครื่องมือ จุดมุ่งหมายแท้จริงคือ ทำลายความสามัคคีในประเทศ ทำให้ประชาชนเกลียดรัฐบาล และเปิดช่องเรียกร้องให้โค่นอำนาจ   ทำไมกระแสสังคมกลับหันมาด่าผู้นำไทย แสดงว่าการปั่นกระแสหรือสงครามข้อมูลได้ผลมาก สังคมกลายเป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว….   ท้ายข้อความสรุปว่าศัตรูที่แท้จริงไม่อยู่ในคลิป..แต่อยู่เบื้องหลังคลิป

   หรือบทความที่เขียนโดยผู้ใช้นามว่า”ผู้การเสือ” ใช้ชื่อเรื่องว่า”เขียนด้วยใจ” เนื้อหาบางช่วงระบุว่าอย่าให้คนอื่นปั่นหัวเราได้ง่ายๆบทเรียนจากคลิปเสียงสู่สงครามในสนามประชาธิปไตย “เกมใหญ่ไม่ใช่คนไร้แผน..ผู้นำที่ดีไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบแต่ต้องมีทีมที่ไม่โง่กับอารมณ์ของศัตรู ในฐานะทหารเก่าที่ผ่านการวางแผนยืนหยัดและเจรจาในหลายเหตุการณ์ ของความขัดแย้งทางการเมืองมาแล้ว ขอใช้โอกาสนี้เตือนสติคนไทยด้วยใจบริสุทธิ์ว่า”สงครามรูปแบบใหม่ไม่ได้ยิงด้วยปืนหรือปล่อยระเบิด แต่มันยิงด้วยข้อมูล ดิสเครดิต ปั่นกระแส จนทำให้ศัตรูแตกกันเองและรอเก็บผลประโยชน์อย่างใจเย็น

  ผู้การเสือยกกรณีสมเด็จฮุนซน ปล่อยคลิปที่คุยแบบส่วนตัวออกมาว่าคลิปเสียงที่ไม่ใช่อาวุธแต่กลับถูกใช้เป็นอาวุธ..ท้ายบทความชี้แนวทางว่าหากเกิดความวุ่นวายรัฐบาลควรทำอย่างไร…

ที่ยกมานำเสนอ”จอมมารน้อย”คาดหวังเพียงเตือนสติกันว่าหากจะเสพข่าวหรือจะร่วมกิจกรรมการเมืองที่จะขับไล่รัฐบาลหรือสนับสนุนรัฐบาล ต้องใช้สติ แยกแยะชั่งน้ำหนักข้อมูลทั้งสองฝ่ายว่าฝ่ายไหนมีเหตุและผลทำเพื่อประเทศชาติและส่วนร่วมจริงๆ ถ้ารู้สึกว่าพอๆกันควรวางเฉยไม่แชร์ข้อมูลเพื่อยั่วยุ จนเกิดความแตกแยก

 ขณะเดียวกันหากรัฐบาลฟอร์มคณะรัฐมนตรีไม่สำเร็จหรือถึงทางตัน ต้องผ่าทางตันอย่างรวดเร็วด้วยการยุบสภาให้ประชาชนตัดสิน อย่ายื้อจนกลายเป็นช่องว่างให้ทหารก่อรัฐประหารเลย เพราะเกือบสิบปีที่ผ่านมาเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกเข็ดขี้อ่อนขี้แก่ กับรัฐบาลเผด็จการทหารเต็มทนแล้ว !!!