กรุงเทพฯ วันที่ 8 มิ.ย. นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรรม กล่าวถึงกรณีการแถลงของโฆษกกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และ กองทัพบก ประเด็นสถานการณืความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า จับใจความและสัญญาณได้ว่า รัฐบาลที่นำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้โยนความรับผิดชอบให้ ผบ.ทบ. ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในความรู้สึกของตน คือ “ห่วย” เพราะมันอธิบายถึงความด้อยฝีมือของรัฐบาลในการจัดการกับปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างมาก
นายกัณวีร์ ขยายความว่า เมื่อรัฐบาลถามกองทัพว่าทำได้ไหม ตนเชื่อว่า ทหารไทยไม่มีคำว่าทำไม่ได้ โดยเฉพาะปัญหาชายแดน และการปกป้องอธิปไตยกับการป้องกันอริราชศัตรูเข้ามาในประเทศ เพราะเป็นงานของทหารอยู่แล้ว แต่รัฐบาลได้ประเมินหรือไม่ว่าการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนมันมีอะไรมากกว่างาน “การทหาร” ซึ่งรัฐบาล หรือ ฝ่ายการเมืองยังขาดความรู้ในการบริหารสถานการณ์ในมิติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดน โดยเฉพาะสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ประกอบด้วยงานหลากหลายมิติ ที่มากกว่างานด้านการทหาร จึงมองปัญหาแค่เพียงมิติเดียวอย่างขาดการวิเคราะห์ถึงข้อเท็จจริง

สส.พรรคเป็นธรรมกล่าวว่า รัฐบาลมีทรัพยากรในมือทั้งหมด แต่กลับมอบหมายให้ทหารไปจัดการเอง ปัญหาที่จะเกิดขึ้นทันที คือ จะไม่สามารถสั่งการหน่วยงานอื่นได้อย่างถูกต้อง เพราะระบบการบริหารข้อพิพาทชายแดนที่ต้องใช้งานการต่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงร่วมสมัย ในทางกลับกันกัมพูชาได้ใช้องคาพยพการจัดการสถานการณ์นี้อย่างเป็นระบบ ทั้งฝ่ายบริหารที่เอาทุกหน้างานมาเปิดทั้งวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ การทหาร และนำเรื่องทั้งหมดออกไปด้วยงานการต่างประเทศ การกระจายกันทำงานฝั่งกัมพูชาได้ส่งลงสู่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบและชัดเจน
นายกัณวีร์ กล่าวว่า หากพิจารณาเปรียบเทียบการเตรียมพร้อมของสองประเทศแล้วจะเห็นว่าความสัมพันธ์ในการบริหารจัดการในเรื่องดังกล่าว เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างกองทัพบกไทย กับรัฐบาลกัมพูชา ทั้งที่จริงการบริหารจัดการควรเป็นแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล หากสถานการณ์เลวร้ายขึ้น พลังอำนาจทางทหารที่เหนือกว่าของไทย อาจเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง การต่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา ที่กัมพูชาเตรียมเอาชนะทางยุทธศาสตร์ ก็อาจเป็นได้ เพราะต้องการยั่วยุให้ไทยใช้กำลังทหาร เพื่อสร้างความเห็นใจจากนานาชาติ นอกเหนือไปจากการปลุกระดมความเป็นชาตินิยมในกัมพูชา

นายกัณวีร์ ตั้งคำถามว่า เหตุใดฝ่ายการเมือง ถึงหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ ไม่ใช้สภาความมั่นคงแห่งชาติที่มี รองนายกฯ ที่ได้รับมอบหมาย รวมกับรัฐมนตรีอีก 8 คน และ ผบ.สส. กับเลขา สมช. จัดการกับปัญหา เป็นเพราะรัฐบาลขาดประสบการณ์ หรือเพราะมีผลประโยชน์ร่วม หรือพยายามรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัว ในการแถลงข่าวทุกคนต้องการฟังว่าแผนคืออะไร ขณะที่กัมพูชาไปไกลกว่าศาลอาญาโลก (ICJ) แล้วเพราะเขามองถึง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และ สมัชชาสหประชาชาติ (UNGA) แต่ไทยมีมาตรการเพียง ปิด-เปิด ด่าน แต่อ้างว่าจะทำให้ฝั่งกัมพูชาเต้นกันทั้งประเทศ เพราะจะกระทบกับกิจกรรมผิดกฎหมายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการข้ามแดนไปเล่นพนัน การค้าผิดกฎหมาย การข้ามแดนของคน
“มองให้ขาดครับ ผมเสนอไปแล้วว่าต้องวางระบบการบริหารจัดการชายแดน การตอบโต้โดยใช้มิติการต่างประเทศ ที่ควบรวมมิติด้านอื่นๆ ทั้งสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคมจิตวิทยาและความมั่นคงร่วมสมัย ผ่านการปรึกษาหารือ บวกกับการล๊อบบี้ในเวทีระหว่างประเทศ ที่ต้องทำควบคู่กับงานพื้นที่ให้สอดผสานกัน เวลาไม่คอยท่า อย่าโยนความรับผิดชอบให้หน่วยราชการประจำไปต่อกรกับรัฐบาลประเทศอื่นที่ใช้ทุกองคาพยพทั้งในและนอกประเทศมาบริหารจัดการกับไทย รัฐบาลไทยต้องเริ่มต้นจากการใช้กลไกการจัดการให้ถูก นำ สภาความมั่นคงแห่งชาติ มาบริหารจัดการในครั้งนี้ มารับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองต้องทำทันที” สส.พรรคเป็นธรรม กล่าว
ทั้งนี้นายกัณวีร์ กล่าวเรียกร้องให้ใช้เวทีสภาผู้แทนราษฎรเป็นที่แก้ไขปัญหา โดยระบุว่าอยากให้สภาเปิดสมัยวิสามัญถกแถลงเรื่องนี้เพราะมันมีผลกระทบกับคนไทยทั้งประเทศ คงต้องใช้อำนาจคณะรัฐมนตรี วิปฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน หรือผู้นำฝ่ายค้านในการขอพิจารณาให้เปิดสภาฯ สมัยวิสามัญเป็นการด่วนในช่วงปิดสมัยประชุมนี้

