ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร.เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดี น.ส.ณิชา เกียรติธนะไพบูลย์ ร้องขอความเป็นธรรมกรณีถูกคนร้ายสวมบัตรประชาชนแล้วนำไปเปิดบัญชีธนาคารเพื่อหลอกลวงให้ผู้เสียหายคนอื่นโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าว ว่าได้รับรายงานว่าเมื่อวันที่ 3 พ.ย.2560 ได้มีผู้เสียหายรายหนึ่งได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ้านตาก ว่าได้มีกลุ่มคนร้ายอ้างตัวเป็นชาวต่างชาติซึ่งรู้จักทางเฟสบุ๊คหลอกลวงให้ทำธุรกิจซื้อขายที่ดินในประเทศไทย ต่อมาได้ส่งเงินค่าซื้อที่ดินมายังประเทศไทยแต่ติดปัญหาเรื่องค่าธรรมเนียม จึงกลุ่มคนร้ายจึงแจ้งให้ผู้เสียหายรายดังกล่าวโอนเงินค่าธรรมเนียมกว่า 1,375,000 บาท โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง ชื่อบัญชี “น.ส.ณิชา เกียรติธนะไพบูลย์” ผู้เสียหายได้หลงเชื่อจึงโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าว จำนวนหลายครั้งรวมเป็นเงิน 1,375,000 บาท ต่อมาผู้เสียหายไม่สามารถติดต่อกลุ่มคนร้ายได้ จึงมาร้องทุกข์ดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายรวมถึงเจ้าของบัญชีธนาคารดังกล่าวให้ได้รับโทษตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ซึ่งคดีนี้พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้เสียหาย ,ขอเอกสารคำขอเปิดบัญชี รายการเดินบัญชีจากธนาคาร จากนั้นได้ออกหมายเรียกเจ้าของบัญชีธนาคารคือ น.ส.ณิชา เกียรติธนะไพบูลย์ เพื่อให้เข้ามาให้การเกี่ยวกับบัญชีธนาคารดังกล่าวแต่ น.ส.ณิชาฯ ไม่ได้เข้ามาพบหรือมาแสดงตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ้านตาก พนักงานสอบสวนจึงขออนุมัติหมายจับศาลจังหวัดตากและศาลอนุมัติหมายจับเจ้าของบัญชีคือ น.ส.ณิชาฯ ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง” เพื่อติดตามตัว น.ส.ณิชาฯ มาดำเนินคดีเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ขอเท็จจริงทางกระบวนการทางกฎหมาย
จนกระทั่งวันที่ 4 มกราคม 2561 น.ส.ณิชาฯ ได้เข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามและได้ถูกส่งตัวมาดำเนินคดีที่ สภ.บ้านตาก ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งในทางคดีพนักงานสอบสวน สภ.บ้านตาก ได้ดำเนินการสอบสวน น.ส.ณิชาฯ ตามกระบวนการของกฎหมายทุกประการ ได้บันทึกคำให้การผู้ต้องหาพร้อมทั้งได้รวบรวมพยานหลักฐานที่ น.ส.ณิชาฯ นำมาให้ไว้ทุกอย่างแล้ว แต่เนื่องจาก น.ส.ณิชาฯ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดตาก พนักงานสอบสวนจึงต้องส่งตัวไปยังศาลจังหวัดตากตามกระบวนการของกฎหมายที่กำหนดไว้ ส่วนศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้นอยู่ในดุลยพินิจของศาล พนักงานสอบสวนจะก้าวล่วงมิได้ ส่วนการสอบสวนนั้นอยู่ระหว่างประสานขอข้อมูลจากธนาคารและสอบปากคำเจ้าหน้าที่ธนาคารเกี่ยวกับรายละเอียดการเปิดบัญชีรวมทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดมายืนยันอีกชั้นหนึ่ง เพื่อนำข้อมูลมาประกอบสำนวนการสอบสวนเพื่อมีความเห็นทางคดีส่งพนักงานอัยการต่อไป
ส่วนกรณีที่คนร้ายที่นำบัตรประชาชนของ น.ส.ณิชาฯ ไปเปิดบัญชีนั้น กองบังคับการปราบปราบได้รับคำร้องทุกข์จาก น.ส.ณิชาฯ ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้แยกสำนวนการสอบสวนออกเป็นอีกคดีหนึ่งเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายที่นำบัตรประชาชนของ น.ส.ณิชาฯ ไปเปิดบัญชีกับธนาคาร จำนวน 3 ธนาคาร ส่วนที่เหลืออีก 4 ธนาคารซึ่ง น.ส.ณิชาฯ เคยไปแจ้งความไว้กับสถานีตำรวจต่างๆ นั้น อยู่ระหว่างขอโอนคดีจากสถานีตำรวจดังกล่าวมารวบรวมเป็นคดีเดียวกันเพื่อประโยชน์ในการรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินการสืบสวนสอบสวนในการติดตามกลุ่มคนร้ายที่นำบัตรประชาชนของ น.ส.ณิชาฯ ไปเปิดบัญชีมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด
รองโฆษก ตร.กล่าวอีกว่าในส่วนของคดีของ สภ.บ้านตาก เมื่อ น.ส.ณิชาฯ ตกเป็นผู้ต้องหาและได้แสดงพยานหลักฐานต่อพนักงานสอบสวนแล้ว พนักงานสอบสวนมีหน้าที่พิสูจน์ความผิดและความบริสุทธิ์ตามพยานหลักฐานที่ผู้ต้องหานำมาให้พนักงานสอบสวนอยู่แล้ว ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด และขอยืนยันว่าพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการตามพยานหลักฐานอยู่แล้ว ด้วยความตรงไปตรงมาเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทั้งฝ่ายผู้เสียหายที่สูญเสียเงินจากการถูกหลอกและ น.ส.ณิชาฯ ที่ถูกคนร้ายนำบัตรประชาชนไปเปิดบัญชีด้วย ในส่วนของกองบังคับการปราบปรามได้รับคำร้องทุกข์ไว้แล้วและได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานโดยมีการประสานความร่วมมือและขอข้อมูลกับ สภ.บ้านตาก อยู่แล้วเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวนติดตามตัวกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ท้ายสุด รอง โฆษก ตร. ขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนที่ทำบัตรประชาชนสูญหายให้รีบดำเนินการทำบัตรประชาชนใหม่ทันที ซึ่งเมื่อทำบัตรประชาชนใหม่แล้วบัตรเก่าจะถูกระงับการใช้งาน หากท่านมีการทำธุรกรรมทางการเงินให้รีบไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันบัตรหายที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน และให้นำบันทึกประจำวันดังกล่าวไปแจ้งกับธนาคารเพื่อเป็นการป้องกันการถูกแอบอ้าง หรือสวมสิทธิ์บัตรประชาชนของท่านอีกทางหนึ่ง หากท่านไม่มั่นใจว่าบัตรประชาชนของท่านจะถูกกลุ่มมิจฉาชีพไปเปิดบัญชีนำไปหลอกลวงบุคคลอื่นหรือไม่นั้น สามารถติดต่อขอตรวจสอบข้อมูลได้ที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1155 หมายเลขโทรศัพท์ 0 2251 9793 ซึ่งได้บูรณาการความร่วมมือกับศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สายด่วน 1710